28 ม.ค. เวลา 01:00 • ข่าวรอบโลก

วิกฤตเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ปีที่ผ่านมาฟอกขาวหนัก ปะการังบางชนิดตายไป 95%

ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ถูกบันทึกว่า ‘ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์’ และเป็นเหตุการณ์ที่มนุษย์ยุคปัจจุบันไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
รวมถึงเป็นปีแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม โดยอยู่ที่ 1.55 องศาเซลเซียส
ความเปลี่ยนแปลงอันผิดเพี้ยนนี้นำมาซึ่งผลกระทบมากมาย โดยหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา คือ แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ได้เกิดการฟอกขาวครั้งใหญ่ขึ้นในหลายพื้นที่
ตามรายงานล่าสุด ซึ่งเป็นงานสำรวจแนวปะการังทางตอนใต้พบว่า เกิดการฟอกขาวอย่างรุนแรงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ มีปะการังฟอกขาวไปทั้งสิ้น 66 เปอร์เซ็นต์
และได้ยกระดับความรุนแรงขึ้นต่อเนื่องในเดือนเมษายน ฟอกขาวไปทั้งสิ้น 80 เปอร์เซ็นต์
จนมาถึงเดือนกรกฎาคม พบว่า ปะการังที่ฟอกขาวตายไป 44 เปอร์เซ็นต์
โดยปะการังบางชนิด เช่น Acropora มีอัตราการตายสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์
มิเท่านั้น ยังพบการระบาดของโรคปะการัง เช่น โรค Black Band Disease (BBD) ที่จะเกิดวงหรือแถบสีดำหรือสีน้ำตาลขึ้นบนตัวปะการัง
โรคนี้จะทำลายเนื้อเยื่อปะการังและขยายไปตามพื้นผิว จนปะการังเหลือแต่โครงสร้างหินปูน
โดยพบโรค BBD กับปะการัง Goniopora เป็นจำนวนมาก และพบอัตราการตายที่สูง
สำหรับการเกิดโรคปะการัง (Coral disease) เป็นสภาวะที่ปะการังตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ ทั้งด้านกายภาพและชีวภาพ
ทางด้านชีวภาพนั้นเกิดจากปะการังตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกิดจากแบคทีเรีย รา โปรโตซัว ไวรัส
ส่วนทางด้านกายภาพเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ทั้งจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ก่อมลพิษต่อทะเลและชายฝั่ง
รวมถึงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำทะเลก็เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญ
ศาสตราจารย์มาเรีย เบิร์น (Maria Byrne) นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ผู้ทำการศึกษาร่วมกับทีมงานเป็นระยะเวลา 161 วัน อธิบายถึงรายงานฉบับนี้ว่า
“ผลการศึกษาของเราเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องแนวปะการังอย่างเร่งด่วน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อความมั่นคงด้านอาหาร และการปกป้องชายฝั่งอีกด้วย”
“แม้แนวปะการังเกรทแบร์ริเออร์ทางตอนใต้มีสถานะเป็นเขตอนุรักษ์ แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากความเครียดจากความร้อนที่รุนแรง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งนี้ได้”
ตามข้อมูลพื้นฐาน แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟเป็นแนวระบบนิเวศปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวมากกว่า 2,300 กิโลเมตร ประกอบด้วยแนวปะการังน้อยใหญ่ราว 3,000 แห่ง
เป็นที่อยู่อาศัยของปลามากกว่า 1,500 ชนิด หอยกว่า 4,000 ชนิด และสิ่งมีชีวิตในทะเลอื่นๆ จากเล็กไปถึงใหญ่อย่างพะยูน และมีสิ่งมีชีวิตที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์หลายชนิดอย่างเต่าตนุยักษ์
มีการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ๆ ที่หลบซ่อนอยู่ตามแนวปะการังอยู่ตลอด เช่น พ.ศ. 2565 ค้นพบปะการังสีดำชนิดใหม่ถึง 5 ชนิด
ขณะที่ในปีต่อมา นักชีววิทยาทางทะเลได้ค้นพบปลาที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน และตั้งชื่อว่า Lady Elliot Shrimp Goby
ตัวอย่างเหล่านี้ คือ คำอธิบายที่บ่งบอกถึงความหลากหลายทางชีวภาพของแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟได้เป็นอย่างดี - หากว่ามันยังอุดมสมบูรณ์อยู่
เกรตแบร์ริเออร์รีฟยังให้ประโยชน์ทางตรง คอยช่วยคุ้มครองชายฝั่งจากคลื่นและพายุขนาดใหญ่
มีส่วนต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจแก่ประเทศออสเตรเลียผ่านการท่องเที่ยว โดยเฉลี่ยมีนักท่องเที่ยวอย่างต่ำ 2 ล้านคนต่อปี เดินทางมาเพื่อสัมผัสความงามของเกรตแบร์ริเออร์รีฟ
ในขณะที่ผลผลิตทางอาหารทะเลให้มูลค่ามากกว่า 200 ล้านดอลลาร์ต่อปี ส่งอาหารให้กับคนออสเตรเลียและทั่วโลก
และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ระดับโลก
ศาสตราจารย์อานา วิลา คอนเซโจ (Ana Vila Concejo) นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมงานวิจัยแสดงความเห็นว่า การวิจัยครั้งนี้ถือเป็นการเตือนสติสำหรับผู้กำหนดนโยบายและนักอนุรักษ์
“ความสามารถในการฟื้นตัวของแนวปะการังกำลังถูกทดสอบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเราต้องให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการต้านทานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของแนวปะการัง”
“ผลการศึกษาของเราเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแทรกแซงการจัดการอย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องระบบนิเวศเหล่านี้”
อ้างอิง
Catastrophic bleaching in protected reefs of the Southern Great Barrier Reef https://shorturl.asia/CotIw
Scientists discover five new species of black corals living thousands of feet below the ocean surface near the Great Barrier Reef https://shorturl.asia/Xs1FV
Researchers find new fish species in Great Barrier Reef https://shorturl.asia/bTxcE
The Global Importance of the Great Barrier Reef https://shorturl.asia/oqUQE
โฆษณา