28 ม.ค. เวลา 00:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ DeepSeeK Aftershock: เกิดอะไรขึ้นบ้างหลังครบ 1 วัน

✅ DeepSeek กลับกลายเป็นข่าวดีสำหรับ Meta และ Apple
นักลงทุนมีเวลาเกือบหนึ่งวันเต็มในการวิเคราะห์ข่าวว่า มีแพลตฟอร์ม AI แบบโอเพ่นซอร์สของจีนที่ชื่อ DeepSeek ใช้ชิปรุ่นที่ไม่ได้ล้ำสมัยที่สุด แต่กลับแสดงศักยภาพได้ดีมาก ข่าวนี้ส่งผลลบอย่างแรงต่อ Nvidia แต่กลับทำให้หุ้น Meta กับ Apple ปรับตัวขึ้น ซึ่งก็ดูมีเหตุผล เพราะสองบริษัทนี้น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดถ้า AI ต้นทุนถูกลง
3
โดยประเด็นหลักคือ DeepSeek สามารถลดปริมาณหน่วยความจำที่โมเดล AI ต้องการ ทำให้ต้นทุนทั้งด้านฮาร์ดแวร์และการประมวลผลลดลง จึงอาจไม่ต้องพึ่งพาชิปสุดแพงของ Nvidia ในการพัฒนา AI ระดับสูงต่อไปเรื่อยๆ
2
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการลงทุนใน AI หากมองผ่านมุมมอง “Jevons paradox” ที่บอกว่า เมื่อเทคโนโลยีทำให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความต้องการใช้อาจสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งกลับกลายเป็นเรื่องดีของบริษัทใหญ่อย่าง Amazon, Apple และ Meta เพราะเมื่อ AI ถูกลง การลงทุนจำนวนมากที่เคยเป็นภาระก็จะกลายเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่มกำไรในระยะยาว
3
ขณะที่ Ben Thompson จาก Stratechery อธิบายว่า
Apple ได้ประโยชน์เพราะการลดความต้องการหน่วยความจำทำให้การประมวลผล AI บน edge inference ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่ง Apple มีจุดแข็งที่ชิป Apple Silicon ใช้หน่วยความจำแบบรวม หรือ Unified Memory ทั้ง CPU, GPU และ NPU จึงเหมาะกับการประมวลผล AI บนอุปกรณ์ผู้ใช้มากที่สุด
2
ส่วน Meta อาจได้ประโยชน์ยิ่งกว่า เพราะเกือบทุกด้านของธุรกิจ Meta ต้องการ AI เพียงแต่ติดข้อจำกัดด้านต้นทุนการประมวลผล ดังนั้นถ้า inference และการเทรน AI ถูกลง ก็เปิดโอกาสให้ Meta เดินหน้าพัฒนา AI ได้เต็มที่
อย่างไรก็ดี เราอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวัฏจักรนี้ในอนาคต เมื่อบริษัทเทคใหญ่ต้องเริ่มลดงบลงทุนหรือแสดงผลลัพธ์ที่เป็นกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้เห็น หาก AI ประหยัดต้นทุนได้จริง ผู้ลงทุนก็จะอยากเห็นการตอบแทนที่ชัดเจน
👉🏻 DeepSeek อาจเป็น “Positive Supply Shock” หนุนทั้งหุ้นและพันธบัตร
หากโมเดลของ DeepSeek ช่วยให้ต้นทุน AI ลดลงจริง บริษัทเทคใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น Microsoft, Meta และ Alphabet ก็จะประหยัดได้มหาศาล ราวกับทำสินค้าระดับ “Louis Vuitton” แต่ใช้ต้นทุนอย่าง “Temu” ซึ่งหากเดิมทีนักลงทุนกังวลว่าเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจะกดดันกำไรของบริษัทเทค ความกังวลนี้ก็อาจลดลงตามไปด้วย
1
ทั้งนี้การใช้จ่าย Capex ของบริษัทอาจลดลงเล็กน้อย ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจมีผลกระทบบ้าง แต่ไม่มาก เพราะเมื่อ AI ถูกลง บริษัทรายอื่นก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้น ผลลัพธ์คือการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพ (productivity) ที่อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินเฟ้อในระยะยาว (disinflationary effect)
6
ด้านความเสี่ยงยังมีกรณี TikTok หากถูกสหรัฐฯ แบนเพราะประเด็นความมั่นคง และถ้า DeepSeek ถูกมองว่าเป็นบริษัทจีน ก็อาจถูกกีดกันเพิ่มเติม หรือสหรัฐฯ อาจเข้มงวดเรื่องส่งออกเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้มุมมองการเติบโตของ AI จากจีนไม่สดใสเท่าที่ควร
1
‼️ DeepSeek: บททดสอบแรกสำหรับนโยบายเทคโนโลยีและจีนของรัฐบาลทรัมป์
การปรากฏตัวของ DeepSeek สร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ให้กับราคาหุ้น Nvidia และบริษัทเทคฯตะวันตก รวมถึงตั้งคำถามเรื่องประสิทธิภาพของมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปจีน
ประเด็นที่เห็นชัดคือ
1️⃣ หากประเทศเป้าหมายรู้ล่วงหน้าและสามารถกักตุนชิปได้ มาตรการควบคุมการส่งออกก็อาจได้ผลน้อยลง
2️⃣ เทคโนโลยีพัฒนาไม่หยุด—มาตรการควบคุมที่เคยใช้ได้อาจใช้ไม่ได้ในอนาคต
3️⃣ จีนทุ่มทรัพยากรมาก และถือว่า AI เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ จึงพร้อมหาทางอ้อมมาตรการสหรัฐฯ อยู่ดี
4️⃣ DeepSeek อาจยังใช้ชิปที่สหรัฐฯ สั่งแบนมาก่อนจะมีข้อห้ามจริง ทำให้กว่าจะเห็นผลเต็มจากมาตรการก็ต้องใช้เวลา
1
5️⃣ ประเด็นสำคัญอยู่ที่สหรัฐฯ จะป้องกันไม่ให้จีน “ตามทันหรือล้ำหน้าบนเทคโนโลยีรุ่นถัดไป” มากกว่าการห้ามรุ่นปัจจุบัน
6️⃣ รัฐบาลทรัมป์ต้องตัดสินใจว่าจะคงมาตรการควบคุมการส่งออกของไบเดนต่อไปหรือไม่ รวมถึงกฎการจำกัดการเผยแพร่ AI (AI diffusion rule) ที่ผู้สนับสนุนมองว่าสำคัญ แต่กลุ่มธุรกิจเทคคัดค้าน
ในมุมของการลงทุน กรณีที่ราคา Nvidia ร่วงหนักเป็นการเตือนว่าการลงทุนในเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว แถมยังมีนโยบายรัฐและการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นเสี่ยงแค่ไหน
💪🏻 Nvidia ยอมรับ DeepSeek ว่า “ยอดเยี่ยม” แต่บอกว่ายังต้องใช้ GPU ของตน
Nvidia ออกแถลงว่า DeepSeek เป็น “ความก้าวหน้าเชิงบวก” และเป็นตัวอย่างว่าโมเดลใหม่ๆ สามารถถูกสร้างได้โดยเทคนิค Test Time Scaling โดยอาศัยชิปรุ่นทั่วไป ซึ่งไม่ละเมิดกฎควบคุมการส่งออก นอกจากนี้ยังระบุว่า ขั้นตอนการ “Inference” ที่ใช้โมเดลต้องการ GPU จำนวนมากและเครือข่ายความเร็วสูง ซึ่ง Nvidia ยังคงเป็นผู้นำ
1
🔥 DeepSeek ดังชั่วข้ามคืน
DeepSeek เปิดตัวคู่แข่ง ChatGPT ชื่อ R1 ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็ทะยานขึ้นชาร์ตดาวน์โหลดทั้งใน iPhone และ Play Store จนระบบล่ม ต้องจำกัดผู้ใช้ให้สมัครได้เฉพาะเบอร์มือถือจีน
DeepSeek อ้างว่าพัฒนาโมเดลประสิทธิภาพสูงใกล้เคียงคู่แข่งในราคาถูกกว่ามาก ส่งผลให้หุ้นบริษัทเทคในสหรัฐฯ และยุโรปดิ่งลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึง Nvidia ร่วงหนัก
1
หลายคนมองว่า DeepSeek สามารถแสดง “กระบวนการคิด” ก่อนให้คำตอบ ต่างจาก ChatGPT ที่มักไม่โชว์ตรรกะเบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม โมเดล DeepSeek มีการเซ็นเซอร์หัวข้อนโยบายการเมืองที่อ่อนไหวในจีน เช่น ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง, เหตุการณ์เทียนอันเหมิน, หรือกรณีไต้หวัน ซึ่งต่างจากคู่แข่งตะวันตกอย่าง ChatGPT
ความสำเร็จของ DeepSeek ทำให้แนวคิดเดิมที่ว่า AI ขั้นสูงต้องใช้ชิปแพง ใช้พลังงานมหาศาล ถูกสั่นคลอน
3
❌ระบบล่ม
การใช้งาน DeepSeek พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 36 ชั่วโมงหลังมีข่าวแพร่สะพัด ทำให้เซิร์ฟเวอร์รับภาระไม่ไหวจนต้องปิดบริการไปกว่าหนึ่งชั่วโมง สุดท้าย DeepSeek จึงจำกัดการลงทะเบียนให้ใช้ได้เฉพาะหมายเลขโทรศัพท์ของจีนแผ่นดินใหญ่ (mainland China) โดยอ้างว่าเป็นผลจาก “large-scale malicious attacks” หรือการโจมตีที่มุ่งทำให้บริการใช้งานไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือเป็นครั้งแรกที่ DeepSeek ประสบวิกฤตระบบล่มในระดับที่ต้องออกมาตรการจำกัดการสมัครใช้งาน
‼️ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งาน DeepSeek
ข้อตกลงในการให้บริการของทางบริษัทระบุว่า ข้อมูลผู้ใช้ที่เก็บมานั้น “อาจถูกจัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัยในสาธารณรัฐประชาชนจีน” ซึ่งประเด็นการถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลจากสหรัฐฯ ไปยังจีนนั้นกำลังถูกจับตามองมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ก่อนหน้านี้มีกรณีที่สมาชิกสภาสหรัฐฯ ตั้งคำถามว่า TikTok ไม่ได้ปกป้องข้อมูลผู้ใช้ชาวอเมริกันอย่างเพียงพอ
3
ขณะที่เมื่อดูที่หน้าการตั้งค่าของ DeepSeek ยังไม่พบตัวเลือกให้ผู้ใช้สามารถควบคุมหรือจำกัดว่าข้อมูลใดบ้างจะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ในจีน ซึ่งจนถึงตอนนี้ ทาง DeepSeek ยังไม่ได้ให้คำตอบหรือชี้แจงใดๆ ต่อประเด็นดังกล่าว
🔻 มูลค่า Nvidia หายไป 589 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว – ร่วงหนักสุดในประวัติศาสตร์
หุ้น Nvidia ร่วงกว่า 17% ในวันจันทร์ มูลค่าหายไป 589 พันล้านดอลลาร์ สร้างสถิติร่วงหนักสุดเป็นประวัติการณ์ โดยปัจจัยหลักมาจากข่าว DeepSeek ที่ทำให้นักลงทุนกังวลว่าตลาด AI แบบต้นทุนสูงอาจถูกแทนที่ได้ ขณะที่ดัชนี S&P500 ร่วงลง 1.5% ส่วน Nasdaq100 ก็ปรับตัวลงเกือบ 3% เพราะ Nvidia มีน้ำหนักมากในดัชนีเหล่านี้
1
🧐 ตัวเลขต้นทุน 6 ล้านดอลลาร์อาจทำให้เข้าใจผิด
มีข้อมูลว่า DeepSeek ลงทุนเพียง 6 ล้านดอลลาร์ในการ “ฝึกสอน” (training) โมเดล แต่ Tae Kim จาก Barron’s ชี้ว่าเป็นตัวเลขที่นับเฉพาะรอบเทรนครั้งสุดท้าย ไม่รวมค่าพัฒนาทั้งหมด (R&D, ค่าแรงวิศวกร, ค่า GPU อื่นๆ) ขณะที่หลายฝ่ายเชื่อว่า DeepSeek ใช้เทคนิค distillation ที่อาศัยผลลัพธ์จากโมเดลสหรัฐฯ มา “สอน” โมเดลของตนให้เก่งขึ้น ดังนั้นต้นทุนทั้งหมดน่าจะมากว่า 6 ล้านดอลลาร์อย่างแน่นอน
2
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนเพิ่งประกาศแผนสนับสนุน AI มูลค่ากว่า 137 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ DeepSeek เองก็ยอมรับว่ายังติดขัดเรื่องการเข้าถึงชิปล้ำสมัยของสหรัฐฯ
☢️ Fortune รายงาน: Meta ตั้ง “War Room” 4 ทีม รับมือ DeepSeek
Meta ของ Mark Zuckerberg ได้ตั้งทีมวิศวกร 4 ชุดวิเคราะห์เทคโนโลยีของ DeepSeek ที่ทำได้เทียบเท่า ChatGPT แต่ราคาถูกกว่า
โดย 2 ทีมจะมุ่งวิเคราะห์วิธีลดต้นทุนการฝึกและการรันโมเดล เพื่อปรับใช้กับ Llama ของ Meta อีกทีมศึกษาว่า DeepSeek ใช้ข้อมูลชุดใด ส่วนอีกทีมเจาะลึกโครงสร้างโมเดลเพื่อนำมาปรับ Llama ต่อไป
1
ทั้งนี้ Zuckerberg เพิ่งประกาศลงทุนสูงถึง 65 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อขยายศูนย์ข้อมูลและจ้างงานด้าน AI และบอกว่า “ปีนี้เป็นปีสำคัญของ AI”
🤔 Elon Musk ตั้งข้อสงสัยว่า DeepSeek มีชิป Nvidia มากกว่าที่อ้าง
1
Elon Musk และ Alexandr Wang (ซีอีโอ Scale AI) คาดว่า DeepSeek อาจมีชิป Nvidia Hopper รุ่น H100 ประมาณ 50,000 ตัว ไม่ใช่แค่ 10,000 ตัวอย่างที่บริษัทบอก โดย Musk มองว่า DeepSeek เลี่ยงเปิดเผยตัวเลขจริง เพราะติดกฎควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ
1
🇻🇮 ทรัมป์เตรียมตั้งกำแพงภาษีและชี้ DeepSeek เป็น “เรื่องดี”
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าหลายประเภท รวมถึงยากับเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อบังคับให้การผลิตย้ายกลับมาในสหรัฐฯ
1
นอกจากนี้ ทรัมป์ มองว่า DeepSeek เป็นสัญญาณที่ดี เพราะ AI จะถูกลง ช่วยลดต้นทุนให้ธุรกิจ และเป็นการกระตุ้นให้สหรัฐฯ ต้องเร่งแข่งขันให้ชนะจีน พร้อมย้ำว่า หากบริษัทไหนไม่อยากจ่ายภาษี ก็ต้องมาตั้งโรงงานในอเมริกา
1
🎯 สรุป
DeepSeek กลายเป็นผู้เล่น AI ที่สร้างความสั่นสะเทือนต่อวงการอย่างฉับพลัน ด้วยการโชว์ว่าแม้ไม่มีชิปล้ำสมัย แต่ก็สามารถสร้างโมเดล AI ประสิทธิภาพสูงได้ต้นทุนถูกลงมหาศาล ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคและโดยเฉพาะ Nvidia ร่วงรุนแรงจากความกังวลของนักลงทุน ถึงอย่างนั้น หลายฝ่ายเชื่อว่าการทำให้ต้นทุน AI ถูกลงอาจกระตุ้นให้เกิดการใช้งานมากขึ้น เกิดเป็น “Jevons paradox” ที่ยิ่งผลิตถูกลงก็ยิ่งมีความต้องการมากขึ้นในระยะยาว
Meta, Apple และบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายต่างออกมาเตรียมพร้อมรับมือและปรับกลยุทธ์ AI กันเต็มที่ ขณะที่มุมการเมือง โดยเฉพาะความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนและมาตรการควบคุมการส่งออก ก็ยิ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่จะกำหนดทิศทาง AI ในอนาคต
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่แน่นอนคือ AI กลายเป็นสมรภูมิที่แข่งกันด้านประสิทธิภาพและต้นทุนอย่างเข้มข้น ทุกบริษัทใหญ่ต่างต้องพิสูจน์ว่าการลงทุนมหาศาลใน AI จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้จริงก่อนที่กระแสเงินทุนจะหดหาย และการมาถึงของ DeepSeek ก็เป็นอีกสัญญาณว่า โลก AI เปลี่ยนแปลงเร็วเกินกว่าที่เราคาดคิดมากนัก
3
โฆษณา