28 ม.ค. เวลา 09:41 • ศิลปะ & ออกแบบ

สีน้ำมัน การเปลี่ยนโลกศิลปะยุค Renaissance

ชื่อภาพ The Arnolfini Portrait (1434)
Artist : Jan van Eyck (1390-1441)
เป็นภาพที่วงการศิลปะให้การยอมรับว่า Jan van Eyck เป็นศิลปินคนแรกที่นำสีน้ำมันมาสร้างงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซ
1
ในยุคก่อนสีน้ำมัน ศิลปินจะใช้สีฝุ่น (Tempera) ซึ่งได้จากธรรมชาติ เช่น ดิน หิน ทราย พืช ผลไม้ ฯลฯ มาจัดเตรียมเป็นผงสี โดยนำมาผสมกับไข่แดง (Yolk) แล้วระบายลงบนวัสดุประเภทไม้ เช่น Oak หรือ Poplar ที่มีการจัดเตรียมพื้นผิวให้เรียบและมีความเหนียว โดยใช้กาวหนังกระต่าย Rabbit skin glue ผสมร่วมกับผง Gesso ที่เป็นสารประเภท Calcium หรือ Gypsum หรือพื้นผิวอีกประเภทที่นิยมใช้กันคือการลงสีฝุ่นบนผนังหรือเพดานประเภทปูนที่ยังอยู่ในสภาพเปียกที่เรียกว่า Fresco
4
tempera on wood
ข้อแตกต่างของการใช้สีน้ำมันของ Jan van Eyck ที่สร้างความแตกต่างจากการใช้สีฝุ่น
1. Layers การใช้สีน้ำมัน สามารถระบายได้ทีละชั้น (layers) ได้หลายชั้น ศิลปินสามารถใช้สีที่มีความแตกต่างกัน สร้างภาพให้เห็นมิติความลึก ความเปล่งประกายที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ตามเทคนิคที่ Van Eyck ใช้เรียกว่า Glaze นำไปสร้างภาพต่างๆที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
3
เช่น การวาดภาพกระจกสะท้อนภาพ (Mirror) โดยเริ่มต้นทาสีพื้นหลังสีเข้ม แล้วสร้างชั้นสีบางๆหลายๆชั้น ไล่ระดับสีอย่างละเอียดเพื่อจำลองผิวโค้งสะท้อนแสง แล้วใช้แปรงเล็กสร้างรายละเอียดเล็กๆ ที่เป็นภาพจำลองของภาพใหญ่ วาดภาพสะท้อนของแสงบนพื้นผิวเพื่อจะสร้างภาพให้เสมือนว่าเป็นภาพในกระจก และระบาย layer ชั้นบนให้มีลักษณะบางๆเพื่อสร้างความโปร่งใส
หรือการใช้ Layers เพื่อสร้างชุดสีเขียวให้มี Texture ให้มีลักษณะของผ้าที่มีความเปล่งประกายเหมือนอัญมณี เรื่องจากการไล่สีทีละ layer ให้เกิดความลึกและความเปล่งประกาย
1
2. Detail and Texture การใช้สีน้ำมัน สามารถรอให้ชั้นสีแห้งแล้วสร้างชั้นต่อไปเพื่อลงรายละเอียดได้อย่างน่าทึ่ง สังเกตที่ขอบเสื้อคลุมของผู้ชาย จะเห็นว่าต้องการวาดให้เป็นเสื้อคลุมขนสัตว์ แสดงฐานะของผู้สวมใส่ โดยมีรายละเอียดของการวาดแต่ละเส้นอย่างพิถีพิถัน โดยปรากฎเป็นครั้งแรกในผลงานของ Van Eyck
3. Light management การจัดการเรื่องแสง สีน้ำมันมีคุณสมบัติแห้งช้า ศิลปินสามารถบริหารจัดการเรื่องการผสมสีเพื่อสร้างผลงานไล่ระดับสี เสมือนว่าได้มีการแสดงผลของแสงที่มีต่อส่วนต่างๆของพื้นผิวในภาพ ศิลปินสามารถสร้างแสงเงา ทำให้สามารถสร้างมิติบนใบหน้าของผู้คน และพื้นผิวต่างๆที่แสงตกมากระทบ ผลงานของ Van Eyck มีการใช้เทคนิคเพื่อแสดงการตกกระทบของแสงบนพื้นผิวที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละพื้นผิว จะสะท้อนแสงต่างกันเช่น ผ้าสีด้าน ผ้ามันวาว ขนสัตว์ ผิวกระจก พื้นห้อง
1
4.Color Intensity สีน้ำมันมีระดับความเข้ม มากกว่าสีฝุ่น (Tempra) สร้างสรรผลงานได้สวยงาม เสมือนจริงมีชีวิตชีวาได้มากกว่า และยังมีความคงทนถาวรมากกว่าสีฝุ่น ภาพสีน้ำมันของ Van Eyck มีอายุกว่า 600 ปี และยังมีการคงสภาพเดิมๆ
1
5.Surface effect การใช้สีน้ำมันทำให้ศิลปินสามารถสร้างพื้นผิวที่แตกต่างกันได้ภายในภาพเดียวกัน เช่นชุดสีดำมี Texture ที่มีความด้าน เทียบกับชุดสีเขียวทีเปล่งประกายเหมือนอัญมณี ขอบเสื้อคลุมขนสัตว์ พื้นไท้ โคมไฟ chandelier แต่ละอย่างมีพื้นผิวเฉพาะตัว ซึ่งไม่สามารถสร้างสรรงานได้โดยใช้สีฝุ่น Tempra
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสีน้ำมัน มี 2 ประการ
1.Chemical Innovation ความรู้ของนักเคมีมีพัฒนาการมากขึ้น สามารถสร้างสีสังเคราะห์ขึ้นมาได้อย่างมีคุณภาพและราคาถูก การใช้จ่ายเพื่อให้สร้างสรรผลงานสามารถทำได้ถูกลง เกิดความนิยมกว้างขวางจากเดิมอยู่ในหมู่ผู้มีฐานะระดับสูงก็กระจายลงไปในวงกว้างมากขึ้น มีศิลปินเข้ามาเรียนรู้มากขึ้นเนื่องจากต้นทุนการเรียนรู้ถูกลง
2.การค้นพบตัวทำละลายที่มีคุณภาพ มีการค้นพบน้ำมันที่เป็นตัวทำละลายที่มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อย เช่นน้ำมัน Walnut และที่ยังใข้มาถึงปัจจุบันคือนำมัน Linseed oil จากเมล็ดของต้น Frax ซึ่งเป็นพืชที่เป็นวัตถุดิบการทอผ้าลินิน
1
คำอธิบายภาพ Arnolfini portrait
นวัตกรรมในเทคนิคการเขียนสีน้ำมัน ภาพแสดงให้เห็นบุคคลสองคน - คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่และหมวกปีกกว้าง อีกคนสวมชุดสีเขียวสดที่ประดับขนสัตว์และผ้าคลุมศีรษะสีขาว นอกจากนี้ยังมีสุนัขตัวเล็กอยู่ที่เท้าของพวกเขา มีการวาดภาพสะท้อนของกระจก แสดงรายละเอียดเชิงสัญลักษณ์ตลอดทั้งภาพ ตั้งแต่เทียนเล่มเดียวที่จุดอยู่บนโคมระย้า ไปจนถึงรองเท้าที่ถอดทิ้งไว้ด้านหน้า​​​​​​​​​​​​​​​​
พื้นผิวของผ้าที่มีรายละเอียดอย่างน่าทึ่ง ตั้งแต่ขอบขนสัตว์ไปจนถึงรอยพับของชุดสีเขียวการใช้เทคนิคสีน้ำมันที่ซับซ้อนซึ่งถือเป็นการปฏิวัติในยุคนั้น
1
สันนิษฐานว่าบุคคลในภาพเป็นคู่สามีภรรรยาที่เป็นพ่อค้าสำคัญในเมือง Bruges เบลเยียม รายละเอียดของภาพแสดงความมั่งคั่งของคู่สามีภรรยา ภาพสะท้อนในกระจกนอกจากคู่สามีภรรยาแล้ว ยังมีบุคคลอื่นอีก 2 คนสันนิษฐานว่าอาจเป็นนักบวช และศิลปิน มีอักษรบนกระจกว่า Jan van Eyck was here 1434' กระจกนูนเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าที่มองเห็นทุกสิ่ง
เทียน 1 เล่ม เป็นสัญลักษณ์ของการมีพระเจ้าเป็นพยาน พิธีนี้อาจเป็นการแต่งงาน
สุนัข แทนความซื่อสัตย์ และความรักที่มั่นคง
รองเท้าที่ถูกถอดออก เป็นการเคารพสถานที่
ผลไม้บนหน้าต่าง อาจแทนถึงสวนเอเดน
ชุดแต่งกายหรูหรา แสดงฐานะ ผ้าคลุมสีขาวแสดงความบริสุทธิ์
1
เป็น Secular portrait ภาพแรกๆของโลก (ภาพของบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่กษัตริย์หรือนักบุญ)
โฆษณา