วันนี้ เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

5 โจทย์ใหญ่เขย่าเศรษฐกิจไทย รับมือไม่ทัน หวั่นถอยหลังสุดซอย

เริ่มออกมาตอกย้ำถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจกันมากขึ้น ทั้งจากบรรดากูรูทางเศรษฐกิจและจากปากประชาชนที่หาเช้ากินคํ่า รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ที่ส่วนใหญ่ระบุตรงกันว่า มีแต่คนขาย แต่คนซื้อหายไปไหนหมด
ขณะที่ผู้ประกอบการภาคการผลิตยังกุมขมับจากปัญหารุมเร้ารอบทิศ โจทย์เก่ายังแก้ไม่ได้ โจทย์ใหม่ชักแถวกระแทกซ้ำ
ล่าสุด “ฐานเศรษฐกิจ” มีโอกาส สัมภาษณ์ รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ถึงมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 พบว่า หลายภาคส่วนล้วนน่าเป็นห่วงและต้องรับมือให้ทัน
  • 5 เรื่องใหญ่กระทบเศรษฐกิจ
รศ.ดร.สมภพ กล่าวว่า ในมุมมองส่วนตัวปี 2568 จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจ 5 เรื่องใหญ่ไล่ตั้งแต่
1. การส่งออกจะผันผวนมาก เมื่อผันผวนมากก็จะเกิดปัญหากระทบต่อเศรษฐกิจไทยมาก เพราะไทยพึ่งพาการส่งออก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 60% ของจีดีพี ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกพึ่งพาภาคการส่งออกน้อยกว่าไทย ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกาพึ่งพาการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ10% ของจีดีพี ส่วนจีนพึ่งพาการส่งออก 15-17% ของจีดีพี
นอกจากนี้นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐ ยังประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่ม ทั้งจากจีน เม็กซิโก แคนาดา และจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้หลายประเทศที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยจะได้รับผลกระทบแน่ ๆ
2. ปี 2568 จะเกิดความรวนเรของห่วงโซ่อุปทานมาก และจะไปกระทบกับประสิทธิภาพการผลิต ทำให้ภาคการผลิตจะปั่นป่วนมากยิ่งขึ้น การจ้างงานจะมีปัญหา ผลประกอบการก็จะมีปัญหา คนที่จะลงทุนเพื่อการส่งออกก็ไม่กล้าลงทุนเพราะไม่รู้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะปรับนโยบายอะไรอีก และจะส่งผลผู้ประกอบการเกิดปัญหาด้านสินเชื่อตามมาอีก
3.ความปั่นป่วนของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงเสถียรภาพค่าเงินบาทของไทย จะมีการไหลออกของทุนทั่วโลกไหลเข้าสหรัฐอเมริกามากขึ้น โดยเวลานี้หุ้นอเมริกาพุ่งขึ้นมาก และต่อไปหากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ลดดอกเบี้ยอีก หุ้นในอเมริกาก็จะพุ่งขึ้นอีก ทั้งนี้จากโดนัลด์ ทรัมป์หนุนให้ทุนทั่วโลกกลับเข้าไปลงทุนในสหรัฐ จะทำให้เกิดการไหลของเงินทุน 2 ทาง คือ 1.เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น ในตลาดพันธบัตร และในตลาดอื่น ๆ ในสหรัฐ 2.เข้าไปลงทุนทางตรง หรือ FDI ในสหรัฐ จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น
4.เกิดความขัดแย้งด้านการเมืองไทยภายในประเทศของไทย เรียกว่าเข้าข่ายเจอทั้งศึกในและศึกนอก ซึ่งยังไม่รู้จะเกิดผลต่อเนื่องอะไรตามมาอีกเป็นลูกโซ่ ซึ่งเสถียรภาพทางการเมืองต้องเฝ้าระวังและจับตาดูให้ดี เพราะทุกอย่างมีผลต่อการค้า การลงทุน เรื่องปากท้องประชาชน เนื่องจากเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น
  • ห่วงปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้
5.จะต้องระวังวิกฤตการแตกตัวของฟองสบู่นอกประเทศ เช่น เกิดฟองสบู่จากเงินบิตคอยน์ ก็จะกระทบไทยด้วยเพราะไทยเป็นประเทศที่เปิดกว้างด้านเศรษฐกิจ ซึ่งวิกฤติข้อนี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้
ทั้งหมดเป็น 5 ความเสี่ยงที่ไทยจะต้องรับมือให้ได้ ถ้ารับมือไม่ได้ก็จะเผชิญกับปัญหาใหญ่ตามมา โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง คนตกงาน เกิดปัญหาสังคมตามมาเป็นลูกโซ่ ถ้าเดินไปตรงนั้นเกรงว่าเศรษฐกิจอาจจะถอยหลังสุดซอยได้
  • เร่งภูมิคุ้มกัน-รัฐบาลต้องมีเสถียรภาพ
สำหรับการรับมือจะทำอย่างไรนั้น ก็ต้องทำภูมิคุ้มกันให้ดี ซึ่งหากรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพการรับมือก็จะยากขึ้น ฉะนั้นเราจำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกัน 2 เรื่องคือ ประการแรก เรื่องสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ หาทางบริหารการดำรงชีพของประชาชนในชีวิตประจำวันให้ได้ ประการที่สอง ต้องหาทางลดความขัดแย้งในประเทศไทยให้เร็วที่สุด เพราะถ้ามองในแง่ผลกระทบ จะกระทบรวมทุกด้านของสังคมไทยในทุกภาคส่วนทั้งภาคครัวเรือน ผู้ประกอบการ ผู้ใช้แรงงานและผู้บริโภค
โฆษณา