เด็กและเยาวชนญี่ปุ่นฆ่าตัวตายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
ในขณะที่ทางการญี่ปุ่น ได้เร่งดำเนินการลดจำนวนผู้ฆ่าตัวตายของญี่ปุ่นลงสำเร็จ
โดยจำนวนผู้ฆ่าตัวตายในปี 2567 ลดลงต่ำสุดเป็นอันดับสอง นับตั้งแต่ปี 2521 เป็นต้นมา คือมีจำนวนผู้ฆ่าตัวตายทั้งสิ้น 20,268 คน
แต่ในขณะเดียวกัน กลับพบว่าจำนวนของเด็กและเยาวชนญี่ปุ่นที่ฆ่าตัวตาย กลับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น (All Time High)
คือมีผู้ฆ่าตัวตายมากถึง 527 คน คิดเฉลี่ยวันละ 1.4 คน ในจำนวนดังกล่าวแยกเป็น
เด็กมัธยมศึกษาตอนปลาย 349 คน
เด็กมัธยมศึกษาตอนต้น 163 คน
เด็กประถมศึกษาฆ่าตัวตายถึง 15 คน
กระทรวงสาธารณสุขและสังคมสงเคราะห์ของญี่ปุ่น ได้แถลงว่าทางกระทรวงถือว่าเป็นเรื่องซีเรียสและสำคัญมาก และจะเร่งทำการวิเคราะห์หาปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เด็กและเยาวชนญี่ปุ่นฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมาก เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป
เนื่องจากในอดีต กลุ่มที่ฆ่าตัวตายสูงสุดเป็นอายุ 20-44 ปี แต่ขณะนี้กลับลดลงมาอยู่ในกลุ่มอายุ 13-18 ปี หรือมัธยมศึกษานั่นเอง
เท่าที่พบข้อมูลเบื้องต้นเกิดจาก
1)เป็นปัญหาการเรียน ได้เกรดต่ำ ไม่เป็นที่น่าพอใจ
2) ไม่สามารถจะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องการเรียนในอนาคตของตนเองได้
3) ปัญหาครอบครัว มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับพ่อแม่ผู้ปกครอง
4) มีปัญหาสุขภาพ เช่น เรื่องซึมเศร้า
อัตราการฆ่าตัวตายในประชากรญี่ปุ่นถือว่าเป็นปัญหาที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญมาโดยตลอด
เนื่องจากในกลุ่มอุตสาหกรรม G7 ประเทศญี่ปุ่นมีอัตราฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับ 2
และสูงเป็นอันดับ 7 ในกลุ่มประเทศโออีซีดี (OECD) ทั้งหมด
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้วพบข้อมูลในปี 2566 คนไทยฆ่าตัวตาย 5179 คน คิดเป็น 7.94 คนต่อ 100,000
ในขณะที่ญี่ปุ่น มีการฆ่าตัวตายจำนวน 20,268 คน คิดเป็น 16.2 รายต่อ 100,000
นั่นคือญี่ปุ่นฆ่าตัวตายมากกว่าคนไทยโดยเฉลี่ยสองเท่าตัว
ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีระบบการศึกษาที่ได้รับการยอมรับ ตลอดจนคนมีวินัยและมีคุณภาพเช่นประเทศญี่ปุ่น แต่กลับพบอัตราการฆ่าตัวตายสูง
ซึ่งคงจะต้องหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไปว่าทำไมจึงเกิดการฆ่าตัวตายสูงดังกล่าว ในประเทศที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการเงินหรือเรื่องปากท้องดังกล่าว
Reference
- 5
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
