วันนี้ เวลา 04:50 • ข่าว

In Focus: PM2.5 ฝุ่นจิ๋วพิษร้าย มหันตภัยที่ต้องรวมพลังสู้

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษทางอากาศที่ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะท้องฟ้าเหนือกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ถูกปกคลุมด้วย PM2.5 ส่งผลให้รัฐบาลต้องดำเนินการแก้ปัญหาเร่งด่วนระยะสั้น ทั้งการสนับสนุนการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) และการยกเว้นค่ารถไฟฟ้า-ค่ารถเมล์ เป็นเวลา 7 วัน เพื่อลดปริมาณฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์
อย่างไรก็ตาม PM2.5 หรือฝุ่นละอองขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีที่มาจากหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ไอเสียรถยนต์จากการจราจรในเมืองเท่านั้น แต่ยังมีควันจากโรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้ในภาคเกษตรกรรม ตลอดจนมลพิษข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 จึงไม่ใช่เรื่องเล็กเหมือนชื่อ แต่เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและทุกระดับ รวมไปถึงระดับภูมิภาคเลยทีเดียว
ผลกระทบรอบด้าน จากสุขภาพถึงเศรษฐกิจ
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า PM2.5 ส่งผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ และอาจเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต เนื่องจาก PM2.5 คืออนุภาคฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กมากพอจะเข้าสู่ปอดลึกและกระแสเลือด สามารถทำลายระบบอวัยวะหลายส่วน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคหอบหืด ปอดอักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังในเด็ก การสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวยังเชื่อมโยงกับโรคไม่ติดต่อในผู้ใหญ่ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และมะเร็งปอดอีกด้วย
จากรายงานของ Health Effects Institute (HEI) พบว่า มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ใน 23 ประเทศเอเชียกลาง เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงอินเดีย ปากีสถาน คาซัคสถาน ไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยผลการศึกษาพบว่า ในปี 2564 มีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศมากกว่า 3.4 ล้านคน คิดเป็น 40% ของผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศทั่วโลก
โดยเฉพาะเอเชียใต้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด มีผู้เสียชีวิต 2.7 ล้านราย และ 2.1 ล้านรายอยู่ในอินเดีย ขณะที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้เสียชีวิต 630,000 ราย โดยมลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงการเสียชีวิตอันดับ 1 ในกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา
นอกจากทำลายสุขภาพแล้ว ผลกระทบจาก PM2.5 ยังพ่นพิษทำร้ายเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศในภูมิภาคเหล่านี้สูญเสีย GDP ราว 4-11% ในปี 2562
สำหรับประเทศไทยซึ่งเผชิญสถานการณ์ PM2.5 เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องติดต่อกันในช่วงกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจในมิติของค่าเสียโอกาสโดยเฉพาะประเด็นด้านสุขภาพของคนกรุงเทพฯ ทั้งในแง่ของการรักษาอาการเจ็บป่วย และการดูแลป้องกันสุขภาพ
เช่น หน้ากากอนามัย เครื่องฟอกอากาศ เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือน จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท ขณะที่หากรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น เช่น การหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง การทำงานที่บ้าน การหยุดเรียน การท่องเที่ยว เป็นต้น รวมถึงผลกระทบที่เกิดในพื้นที่อื่นๆ ค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจะสูงกว่านี้
ฝุ่นพิษกับเด็ก
ยูนิเซฟแสดงความกังวลต่อระดับค่าฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเด็กประมาณ 13.6 ล้านคนทั่วประเทศ จากรายงาน Over the Tipping Point report ในปี 2566 พบว่า จำนวนเด็กในประเทศไทยที่เผชิญความเสี่ยงสูงจาก PM2.5 มีมากกว่าจำนวนเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศอื่น ๆ เช่น น้ำท่วม คลื่นความร้อน และภัยแล้ง
ยูนิเซฟระบุว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเป็นกลุ่มที่เปราะบางเป็นพิเศษ เนื่องจากหายใจเร็วกว่าและรับอากาศมากกว่าผู้ใหญ่ตามสัดส่วนน้ำหนักตัว อีกทั้งมักหายใจผ่านปาก ทำให้รับสารมลพิษมากขึ้น ผลกระทบมีตั้งแต่ในครรภ์มารดา เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และปัญหาการพัฒนาสมอง
จากรายงานสภาวะอากาศโลก ซึ่งเผยแพร่โดย Health Effects Institute และยูนิเซฟ ชี้ว่า ในปี 2564 มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 700,000 คนทั่วโลก หรือวันละเกือบ 2,000 คน เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ทำให้มลพิษทางอากาศกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่สองของการเสียชีวิตในเด็กกลุ่มนี้ รองจากภาวะทุพโภชนาการ
สอดคล้องกับมูลนิธิ เซฟ เดอะ ชิลเดรน ที่แสดงความเป็นห่วงว่า การที่กรุงเทพฯ มีคุณภาพอากาศแย่ติดอันดับโลกนั้น จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อีกทั้งมลพิษทางอากาศยังส่งผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ เพราะเด็กอาจต้องขาดเรียนจากการปิดโรงเรียนและอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษ
รวมพลังสู่ฝุ่น
ด้วยผลกระทบที่รุนแรงของ PM2.5 จึงมีความพยายามหาทางแก้ปัญหาทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ตัวอย่างเช่นในกรอบอาเซียน มีความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution: AATHP) ซึ่งลงนามตั้งแต่ปี 2545
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนในการดำเนินมาตรการป้องกัน ติดตามตรววจสอบ และควบคุมการเกิดไฟป่าและการเผาในที่โล่ง ตลอดจนเพิ่มช่องทางในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หากเกิดวิกฤตมลพิษหมอกควันข้ามแดน หรือเกิดการลุกลามของไฟจนเกินความสามารถในการควบคุมของประเทศใดประเทศหนึ่ง
นอกจากนี้ เมื่อเดือนต.ค. ปีที่แล้ว ประเทศไทยได้ยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านโดยจับมือกับ สปป.ลาว และเมียนมา เปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (Clear Sky Strategy) สำหรับปี พ.ศ. 2567 – 2573 แผนนี้มุ่งยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า ฝุ่นละออง และหมอกควันข้ามแดน โดยบูรณาการความร่วมมือทั้งระดับหน่วยงานรัฐ ประชาชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นภูมิภาคอาเซียนที่ปลอดหมอกควันภายในปี 2573
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เผชิญปัญหาฝุ่นหมอกควัน อันเป็นผลพวงมาจากการเผาป่าในอินโดนีเซียเพื่อการเกษตรเชิงพาณิชย์ ส่งผลให้ประชาชนในสิงคโปร์ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์เดินหน้าจัดการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการออกกฎหมาย Transboundary Haze Pollution Act ในปี 2557 ที่มีบทลงโทษรุนแรงสำหรับบริษัทที่ก่อให้เกิดหมอกควันข้ามพรมแดน โดยกำหนดค่าปรับสูงสุดถึง 2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 50 ล้านบาท) กฎหมายนี้ไม่เพียงมีผลใช้บังคับในสิงคโปร์ แต่ยังครอบคลุมถึงบริษัทต่างชาติที่ก่อมลพิษส่งผลกระทบต่อสิงคโปร์ด้วย
สำหรับภาพรวมของ 23 ประเทศในเอเชีย (ไม่รวมเอเชียตะวันออกและตะวันตก) หลายประเทศได้เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ และการลดมลพิษทางอากาศในครัวเรือน เช่น อินเดียได้ริเริ่มโครงการ Ujjwala ที่สนับสนุนแก๊สหุงต้มฟรีหรือราคาถูกให้กับครัวเรือนยากจนเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษ ตลอดจนความร่วมมือระดับภูมิภาคอย่างแผนริเริ่มทิมพู ซึ่งมุ่งแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนระหว่างอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล และภูฏาน
การแก้ปัญหา PM2.5 ให้ได้ผลในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ทั้งภายในท้องถิ่นและระหว่างประเทศ เพื่อบังเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนทุกคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของประเทศ ภูมิภาค และของโลกใบนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์
โฆษณา