30 ม.ค. เวลา 14:04 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Tokyo Story เมื่อความตายเป็นเพียงสัจธรรมของชีวิต

**เรื่องย่อ**
Tokyo Story(1953)-ภาพยนตร์โดย Yasujirō Ozu
หนึ่งในผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น
เคียงคู่กับ Kurosawa หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความเรียบง่ายแต่สามรถถ่ายทอดปรัชญาของความตายทรงพลัง เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อคู่สามีภรรยาสูงวัยจากชนบทเมืองโอโนมิจิ, Shūkichi Hirayama และ Tomi Hirayama ตัดสินใจเดินทางมายังกรุงโตเกียวเพื่อเยี่ยมลูกๆ ของพวกเขา หลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน พวกเขาหวังจะใช้เวลาร่วมกับลูกๆ และได้เห็นว่าชีวิตของลูกๆ เจริญรุ่งเรืองเพียงใดในเมืองหลวง
อย่างไรก็ตาม การมาเยือนของพวกเขากลับไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ ลูกชายคนโตของพวกเขา โคอิจิ เป็นหมอที่มีงานยุ่งมาก และลูกสาวคนโต ชิเงะ เป็นเจ้าของร้านเสริมสวยที่ไม่ค่อยมีเวลาให้พ่อแม่มากนัก ด้วยความยุ่งเหยิงในชีวิตประจำวันของตัวเอง ลูกๆ ของพวกเขาก็เริ่มมองว่าการมาเยือนของพ่อแม่เป็นภาระมากกว่าความยินดีที่จะได้พบ
หนังไม่ได้มีเหตุการณ์พลิกผันหรือความตื่นเต้นหวือหวา หากแต่ดำเนินไปด้วยจังหวะชีวิตจริงของผู้คน สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง Ozu ใช้ สไตล์การเล่าเรื่องแบบเนิบๆ ไม่มีดนตรีประกอบที่ดึงอารมณ์เกินจริง ไม่มีการเคลื่อนกล้องที่ซับซ้อน แต่ทุกฉากกลับสื่อถึงอารมณ์อย่างเต็มเปี่ยม ผ่านบทสนทนาธรรมดา สีหน้าของตัวละคร และช่องว่างของความเงียบ หนังถ่ายทอดความเปลี่ยนแปลงของครอบครัว ความห่างเหินระหว่างรุ่น และความเปราะบางของชีวิตอย่างลึกซึ้งโดยไม่ต้องพยายามบีบบังคับอารมณ์ผู้ชม
**ความตายคือส่วนหนึ่งของวัฏจักรชีวิต**
ปรัชญาของความตายได้เริ่มขึ้นเมื่อเมื่อ Tomi แม่ของครอบครัวเสียชีวิต ลูกๆ ของเธอเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อร่วมพิธีศพ แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ต้องรีบกลับไปใช้ชีวิตของตนเอง ทิ้งไว้เพียง Shūkichi ผู้เป็นพ่อที่ต้องใช้ชีวิตตามลำพังหลังจากสูญเสียคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมาหลายสิบปี ในหนังเราจะเห็นได้ว่าการจากไปของ Tomi ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมรุนแรง แต่กลับเป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึง ธรรมชาติของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย ซึ่งเป็นวัฏจักรของมนุษย์
พ่อแม่ให้กำเนิดลูก เมื่อถึงเวลา ลูกก็เติบโตและสร้างครอบครัวของตนเอง ส่วนพ่อแม่ก็แก่ตัวลง และสุดท้ายก็ตายจากไป Ozu นำเสนอความตายในฐานะ **สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ** ไม่ใช่สิ่งที่ต้องตื่นตระหนกหรือคร่ำครวญ ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่องราว แต่เป็นเพียง “การเปลี่ยนผ่าน” ของวัฏจักรชีวิตมนุษย์ คนที่จากไปไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกต่อไป แต่ชีวิตของคนที่ยังอยู่ก็ต้องดำเนินต่อไป นี่คือสัจธรรมที่มนุษย์หลายคนมักจะปฎิเสธ
** ความเงียบงันและช่องว่างของความตาย**
หนึ่งในสิ่งที่ Ozu ใช้ในการถ่ายทอดความหมายของความตายคือ ความเงียบ และ ช่องว่างในอารมณ์ ภายในภาพยนตร์
-การตายของ Tomi เกิดขึ้นในวันธรรมดาๆวันหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้
-ไม่มีฉากร้องไห้ฟูมฟาย ไม่มีบทพูดที่เน้นย้ำความสูญเสีย
-สีหน้าที่สงบนิ่งของ Shūkichi (พ่อของครอบครัว) ที่ต้องดำเนินชีวิตต่อไปหลังจากสูญเสียภรรยา
-แววตาของ Noriko ลูกสะใภ้ที่แม้จะไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ แต่กลับรู้สึกถึงความสูญเสียมากกว่าลูกแท้ๆ ของ Tomi
หนังแสดงให้เห็นว่า บางครั้ง ความตายไม่ได้เป็นเรื่องของความโศกเศร้าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกๆ ของ Tomi ดูเหมือนจะเศร้าเพียงชั่วครู่ จากนั้นพวกเขาก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตของตนเอง ไม่มีใครสามารถอยู่กับความเศร้านี้ไปตลอด เพราะโลกยังคงหมุนต่อไป
**ความตายคือบทเรียนให้เห็นคุณค่าของชีวิตปัจจุบัน**
ปรัชญาเกี่ยวกับความตายในหนังยังเป็นกระจกสะท้อนให้ผู้ชมได้คิดถึงชีวิตในปัจจุบัน ตลอดทั้งเรื่อง เราจะเห็นว่า Shūkichi และ Tomi เดินทางมาหาลูกๆ ด้วยความหวังว่าจะได้ใช้เวลาร่วมกัน แต่ลูกๆ กลับยุ่งเกินกว่าจะให้เวลา พวกเขามองว่าการมาเยือนของพ่อแม่เป็นภาระเล็กๆ ที่ต้องรับผิดชอบ จนกระทั่งแม่จากไปจริงๆ พวกเขาถึงเริ่มตระหนักว่าตนเองอาจละเลยช่วงเวลาที่มีค่าไปแล้ว
เราไม่มีทางรู้ว่าคนที่เรารักจะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน และหากเรามัวแต่ยุ่งกับชีวิตประจำวัน เราอาจพลาดโอกาสที่จะมอบความรักและความเอาใจใส่ให้พวกเขาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป **บางครั้ง เราต้องสูญเสียบางสิ่งไปก่อน ถึงจะเห็นคุณค่าของมัน เรามักคิดว่าคนที่เรารักยังคงอยู่ตรงนั้นเสมอ จนเราไม่เห็นค่าของเวลาที่มีอยู่ แต่เมื่อเวลาหมดลง เราถึงได้รู้ว่ามันสายเกินไป
Tokyo Story เป็นมากกว่าภาพยนตร์เกี่ยวกับครอบครัว หากแต่เป็นผลงานที่ถ่ายทอดปรัชญาแห่งความตายอย่างลึกซึ้ง ด้วยเรื่องราวที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยไม่ต้องพยายามเร่งเร้าอารมณ์หรือสร้างฉากโศกนาฏกรรมให้สะเทือนใจ แต่เลือกจะสะท้อน ธรรมชาติของชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป แม้ว่าความตายจะพรากใครบางคนไป
หนังที่เนื้อเรื่องไม่มีอะไรเลยเปรียบเสมือนมันเป็นแค่สารคดีการเดินทางมาเยี่ยมลูกหลานของหญิงและชายชราธรรมดาๆคนนึง แต่หากว่านั้นมันคือการเดินทางมาพบหน้าลูกหลานเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้เราตระหนักรู้ว่าวันธรรมดาๆวันนึงวันนั้นมันอาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่เราจะได้อยู่กับคนที่เรารัก ความตายคือเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งบนโลกนี้ย่อมดับสลายเป็นธรรมดา แต่ทำไมทุกคนกลับหวาดกลัวมัน
**บทสรุปคำตอบแห่งความตาย**
Ozu ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับความตาย แต่กลับปล่อยให้ผู้ชมค่อยๆ ซึมซับและไตร่ตรองผ่านเรื่องราวที่เรียบง่าย เขาไม่แม้แต่บอกวิธีการเผชิญหน้ากับมัน แต่กลับสะท้อนว่า มันเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเราไม่มีทางรู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่ เราทำได้เพียงใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุด ใส่ใจผู้คนรอบตัว และไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่เห็นค่าของมัน เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราต้องสูญเสียใครไปจริงๆ สิ่งที่เหลืออยู่จะมีเพียงความทรงจำ และคำถามที่ว่า เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง?
**หนึ่งในหนังปรัชญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล**
Tokyo Story นับเป็นงานศิลปะที่บันทึกแก่นแท้ของชีวิต เป็นภาพยนตร์ที่ค้องพยายามไม่เร่งเร้าให้เรารู้สึกเศร้า แต่กลับทำให้เราค่อยๆ ซึมซับและเข้าใจว่า ความเปลี่ยนแปลงและความสูญเสียเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ และสิ่งสำคัญคือเราจะเลือกใช้เวลาที่มีอยู่อย่างไร ก่อนที่มันจะกลายเป็นเพียงความทรงจำ
ความยอดเยี่ยมของหนังไม่ได้อยู่ที่เหตุการณ์พลิกผันหรือฉากสะเทือนใจ แต่คือ ความจริงใจและความเงียบที่พูดแทนทุกความรู้สึก ผู้ชมไม่ได้แค่ดูเรื่องราวของตัวละคร แต่กำลังสะท้อนชีวิตของตัวเองผ่านเรื่องราวเหล่านั้น ความตายเป็นความจริงพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ที่เราทุกคนรู้ดี แต่กลับมักมองข้าม เพราะเรามักเชื่อว่าเราจะมีเวลาเสมอ
โฆษณา