Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Ourgreenfish
•
ติดตาม
5 ก.พ. เวลา 06:00 • การตลาด
Retargeting สำหรับ E-Commerce เพิ่ม ROI ด้วยงบประมาณที่จำกัด
ธุรกิจ E-Commerce จำเป็นต้องดึงดูดลูกค้าให้กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญ แม้คุณจะสามารถดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้จำนวนมาก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะกลายเป็นลูกค้า Retargeting จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแปลงผู้เข้าชมเหล่านั้นให้กลายเป็นลูกค้าที่แท้จริง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีงบประมาณจำกัด
Retargeting คืออะไร?
Retargeting คือการติดตามผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าแต่ยังไม่ได้ทำการซื้อ โดยใช้โฆษณาเพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาดำเนินการต่อ เช่น การซื้อสินค้าหรือกรอกข้อมูลในฟอร์มต่าง ๆ Retargeting ทำงานผ่านการใช้ Cookies และ Pixel ที่ติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งานในเว็บไซต์ของคุณ
ทำไม Retargeting ถึงสำคัญสำหรับธุรกิจ E-Commerce?
1. โฟกัสไปที่ Traffic ที่มีคุณภาพ
ไม่ใช่ทุก Traffic ที่เข้ามามีคุณภาพหรือพร้อมจะซื้อสินค้าของคุณ แต่ Retargeting ช่วยคัดกรองเฉพาะผู้เข้าชมที่แสดงพฤติกรรมสนใจ เช่น การคลิกดูสินค้า การเพิ่มสินค้าในรถเข็น หรือการใช้เวลาบนเว็บไซต์เป็นเวลานาน
ตัวอย่าง: หากมีผู้เข้าชมเพิ่มสินค้าในรถเข็นแต่ยังไม่ได้ทำการชำระเงิน คุณสามารถใช้ Retargeting เพื่อส่งโฆษณาส่วนลดพิเศษเพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อ
2. เพิ่ม Conversion โดยใช้งบประมาณที่จำกัด
Retargeting ช่วยให้คุณใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะคุณกำลังสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นลูกค้ามากที่สุด
จากการวิจัยพบว่า Retargeting สามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้ถึง 70%
เทคนิคการใช้ Retargeting เพื่อเพิ่ม ROI (Return on Investment)
1. เลือกใช้ Social Media Platform ที่เหมาะสม
คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในทุก Social Media Platform แต่ควรเลือกใช้แพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้งานมากที่สุด เช่น Facebook, Instagram หรือ TikTok
ตัวอย่าง: หากกลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นคนรุ่นใหม่ TikTok และ Instagram อาจเป็นช่องทางที่เหมาะสมในการ Retargeting
2. สร้าง Content ที่ตรงใจลูกค้า
Content ที่มีเป้าหมายชัดเจนช่วยให้ Retargeting มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การนำเสนอข้อเสนอพิเศษ การแจ้งเตือนสินค้าใกล้หมด หรือการรีวิวจากลูกค้าที่พึงพอใจ
ตัวอย่าง: สร้างโฆษณารีวิวสินค้าจากผู้ใช้งานจริงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
3. อย่าสร้าง Content จำนวนมากโดยไม่มีเป้าหมาย
คุณไม่จำเป็นต้องสร้าง Content จำนวนมากเพื่อหว่านโฆษณาไปยังผู้ใช้งาน แต่ควรมุ่งเน้นไปที่ Content ที่เฉพาะเจาะจงและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
ตัวอย่าง: หากลูกค้าเคยดูสินค้าประเภทเครื่องสำอาง โฆษณาควรเน้นที่สินค้าประเภทเดียวกันหรือโปรโมชั่นที่เกี่ยวข้อง
4. กำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับ Retargeting
ช่วงเวลาสำคัญที่ควรใช้ Retargeting ได้แก่
ภายใน 1-3 วันหลังจากลูกค้าเยี่ยมชมเว็บไซต์
ในช่วงโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ลดราคาประจำปี
วิธีเพิ่มความสำเร็จของ Retargeting
1. ใช้ Dynamic Ads
Dynamic Ads คือโฆษณาที่ปรับแต่งตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การแสดงสินค้าที่พวกเขาดูในเว็บไซต์ของคุณ
2. ใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning
AI สามารถช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า และปรับปรุงแคมเปญ Retargeting ให้แม่นยำยิ่งขึ้น
3. ทดสอบและปรับปรุงโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
ใช้ A/B Testing เพื่อหาว่าโฆษณาแบบใดให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
ตัวอย่างความสำเร็จจากการใช้ Retargeting
Amazon: ใช้ Dynamic Ads ในการแสดงสินค้าที่ลูกค้าเคยดู เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
Shopee: ใช้ Retargeting ในการแจ้งเตือนโปรโมชั่นสำหรับสินค้าที่ลูกค้าเพิ่มในรถเข็น
Retargeting เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจ E-Commerce โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คุณมีงบประมาณจำกัด การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสม สร้าง Content ที่ตอบโจทย์ และปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่ม ROI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าปล่อยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณหายไปโดยเปล่าประโยชน์ ใช้ Retargeting เพื่อเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้าที่ภักดีต่อธุรกิจของคุณ
อ่านบทความเพิ่มเติม :
อ่านเพิ่มเติม
blog.ourgreenfish.com
Retargeting: วิธีดึงลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้งด้วยกลยุทธ์ที่ได้ผล
Retargeting คือ เครื่องมือสำคัญในแคมเปญการตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดึงดูดลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าและบริการของเรากลับมาซื้ออีกครั้ง
ธุรกิจ
เศรษฐกิจ
การตลาด
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย