1 ก.พ. เวลา 06:10 • การตลาด

ทฤษฎีการเสริมแรงเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Reinforcement)

ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของสงครามโลกครั้งที่สอง อังกฤษตกอยู่ภายใต้การโจมตีอย่างหนักจากกองทัพเยอรมัน หลายเมืองถูกถล่ม ทหารและพลเรือนต่างหวาดกลัวและเหนื่อยล้าจากการสู้รบที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ขวัญและกำลังใจของทหารที่อยู่ในแนวหน้าเริ่มจะหมดไป ในขณะนั้นเอง วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) นายกรัฐมนตรีที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากับประชาชนและเหล่าทหารที่กำลังสิ้นหวัง
เชอร์ชิลล์ไม่เพียงแค่ให้คำปราศรัยธรรมดา แต่เขาให้คำชมที่ซึมลึกเข้าสู่จิตวิญญาณของผู้ฟัง เขากล่าวว่า “แม้เราจะเผชิญกับคลื่นแห่งความมืดมิด แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าแสงสว่างอยู่ในตัวของพวกท่าน พวกท่านคือผู้กล้าที่สร้างประวัติศาสตร์ ใครจะกล้ามองข้ามความกล้าหาญของพวกท่านได้ พวกท่านคือนักรบแห่งยุคนี้”
คำพูดของเชอร์ชิลล์ไม่ใช่แค่การยกย่อง แต่เป็นดั่งประกายไฟที่จุดขึ้นในหัวใจของทหารที่อาจเคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะพ่ายแพ้ น้ำเสียงที่หนักแน่นและการยอมรับในความทุ่มเทของพวกเขาทำให้ทุกคนที่ฟังรู้สึกถึงพลังและความหมายในสิ่งที่พวกเขาทำ เสียงปรบมือที่ดังก้องหลังคำพูดของเชอร์ชิลล์เป็นเพียงเสียงเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับความกึกก้องที่เกิดขึ้นในหัวใจของทหารอังกฤษ
ความเหนื่อยล้าหายไปในพริบตา พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้ต่อสู้เพียงแค่เพื่อชนะสงคราม แต่เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าพวกเขาคือผู้ที่ทำให้ความยุติธรรมและเสรีภาพคงอยู่ต่อไป
นี่คือพลังของการเสริมแรงเชิงสัญลักษณ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของคนทั้งกองทัพได้ เพียงแค่คำพูดหนึ่งประโยค คำชมหนึ่งครั้งที่ส่งมอบจากผู้นำที่ยิ่งใหญ่สามารถเปลี่ยนจากความสิ้นหวังเป็นแรงบันดาลใจที่ไม่เคยคิดว่าจะมีได้ เรื่องของเชอร์ชิลล์เป็นตัวอย่างที่ดีในการอธิบายให้เห็นภาพอิทธิพลของการเสริมแรงเชิงสัญลักษณ์ ก่อนที่ผมจะอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ ผมอยากกล่าวถึงที่มาของทฤษฎีนี้ก่อน
การเสริมแรงทางสัญลักษณ์เป็นการผสมผสานระหว่าง 1) ทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำ (Operant Conditioning Theory) ของนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เบอร์ฮัส สกินเนอร์ (Burhus Skinner) หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ บี เอฟ สกินเนอร์ (B.F. Skinner) และ 2) การสร้างแรงบัลดาลใจทางสัญลักษณ์ ตามแนวคิดของ ลี โบลแมน (Lee Bolman) และ เทอเรนซ์ ดีล (Terrence Deal) ซึ่งเป็นหนึ่งในโมเดลสี่กรอบ (Four Frame Model)
1) ทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำ (Operant Conditioning Theory) "ถ้าคุณให้รางวัลหรือลงโทษอย่างเหมาะสม คุณจะสามารถทำให้ผู้อื่นเกิดพฤติกรรมตามที่ต้องการได้" เป็นสิ่งที่สกินเนอร์ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ หลักการของทฤษฎีนี้คือการกระทำใด ๆ ย่อมก่อให้เกิดผลกรรม ซึ่งมีทั้งผลกรรมที่เป็นตัวเสริมแรง (Reinforcement) ที่ทำให้พฤติกรรมที่บุคคลกระทำอยู่นั้นมีอัตราเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลกรรมที่เป็นตัวลงโทษ (Punishment) ที่ทำให้พฤติกรรมที่บุคคลกระทำนั้นจะลดลงหรือยุติไป
กล่าวคือ หากเราต้องการให้พฤติกรรมอะไรก็ตามให้ดำเนินต่อไปหรือมีอัตราที่เพิ่มมากขึ้น เราสามารถใช้การเสริมแรง ยกตัวอย่างเช่น ทำให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนมากขึ้น โดยการชมเชยว่า "ชอบที่คุณแสดงความคิดเห็น พยายามได้ดีมากเลย" ก็จะทำให้นักเรียนคนนั้นแสดงความคิดเห็นมากขึ้น เพราะใคร ๆ ก็ชอบการชมเชยด้วยกันทั้งนั้น
2) กรอบสัญลักษณ์ (Symbolic Frame) คือแนวคิดที่ช่วยสร้างความหมายและความผูกพันในองค์กร ซึ่งช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมโยงทางอารมณ์ของสมาชิก ส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมและเอกลักษณ์ขององค์กร ทำให้คนรู้สึกว่ามีเป้าหมายร่วมกันและช่วยจัดการกับความไม่แน่นอนหรือการเปลี่ยนแปลง โดยทั้งหมดนี้ให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้การทำงานมีความหมายและคุณค่ายิ่งขึ้นสำหรับสมาชิกในองค์กร
บุคคลที่จะใช้พลังแห่งกรอบสัญลักษณ์ได้อย่างมีคุณภาพมากที่สุดคือผู้นำที่มีอิทธิพลเชิงบวก ซึ่งสามารถสร้างแรงบันดาลใจและความรู้สึกมีส่วนร่วมให้กับสมาชิกในองค์กรได้อย่างแท้จริง ผู้นำเหล่านี้มักมีทักษะในการสื่อสารวิสัยทัศน์อย่างมีพลัง ใช้สัญลักษณ์ เรื่องเล่าและพิธีกรรมเพื่อสื่อถึงคุณค่าและค่านิยมขององค์กร ทำให้สมาชิกมีความรู้สึกผูกพันและเชื่อมั่นในเป้าหมายขององค์กร
ดังนั้น หากผู้นำที่มีอิทธิพลเชิงบวกใช้การเสริมแรงทางบวกจะยิ่งทวีคูณคุณภาพของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ โดยการเสริมแรงทางบวก เช่น การชื่นชมที่ความพยายาม การยกย่องความสำเร็จ หรือการมอบรางวัล ทำให้สมาชิกเกิดความภาคภูมิใจและมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมที่พึงประสงค์ถูกกระตุ้นและเกิดซ้ำบ่อยขึ้น
ทุกท่านลองพิจารณาดูนะครับ หากนักการเมืองธรรมดาคนหนึ่งมาพูดปลุกใจในระหว่างที่อังกฤษกำลังเผชิญกับขวัญและกำลังใจที่สูญหายไป มันจะเกิดอะไรขึ้น ผมเชื่อว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก ในทางกลับกันวินสตัน เชอร์ชิลล์ คือนายกรัฐมนตรีผู้มี่อิทธิพลอย่างมากในยุคนั้น ได้กล่าวปลุกขวัญกำลังใจ และชมเชยในทหารอย่างมีวาทะศิลป์ สิ่งนี้แหละที่เปลี่ยนแปลงขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารให้กลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องใช้การเสริมแรงเชิงสัญลักษณ์ผ่านคำชมจากผู้นำที่มีอิทธิพลเชิงบวกเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถเป็นคำพูดหรือแนวคิดที่สามารถกระตุ้นกระบวนการคิดของผู้ฟังและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้เช่นกัน
ในปี ค.ศ. 1963 ขณะที่มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King, Jr) ก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดของอนุสาวรีย์ลินคอล์นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เขายืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนกว่า 250,000 คนที่มารวมตัวกันพร้อมเดินขบวนเพื่อสิทธิพลเมือง คำพูดของเขา “ฉันมีความฝัน” (I Have a Dream) ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำปราศรัย แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและการเปลี่ยนแปลงสำหรับคนนับล้านทั่วโลก
ในช่วงเวลานั้น คำปราศรัยไม่ได้มีเพียงคำพูดอันทรงพลัง แต่มันกลายเป็นสัญลักษณ์เชิงบวกที่เสริมแรงให้คนหลายรุ่นกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง การพูดถึง “ความฝัน” ทำให้เกิดการรับรู้ถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวบุคคลและการเสริมสร้างจิตใจผ่านคำพูดอันทรงพลัง ซึ่งสะท้อนถึง “การเสริมแรงเชิงสัญลักษณ์” อย่างแท้จริง
การเสริมแรงเชิงสัญลักษณ์จึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การมอบสิ่งของหรือรางวัลทางวัตถุ แต่ยังสามารถเป็นคำพูด แนวคิด หรือการกระทำที่ทำให้บุคคลรู้สึกได้รับการยอมรับ มีคุณค่า และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในสังคม เหมือนที่คำพูดของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้สร้างแรงกระตุ้นให้ผู้คนต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคมและความเท่าเทียมกันจนถึงทุกวันนี้
ความก้าวหน้าของโลกเกิดขึ้นจากผู้นำเหล่านี้เสมอ ผู้ที่รู้จักการใช้การเสริมแรงเชิงสัญลักษณ์
อ้างอิง
คาลอส บุญสุภา. (2564). การเสริมแรงและการลงโทษ (B.F.Skinner). https://sircr.blogspot.com/2021/05/bfskinner.html
คาลอส บุญสุภา. (2564). รูปแบบการเสริมแรง (Reinforcement). https://sircr.blogspot.com/2021/05/reinforcement.html
คาลอส บุญสุภา. (2566). เสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) อย่างไรให้มีประสิทธิผลมากที่สุด. https://sircr.blogspot.com/2023/04/positive-reinforcement.html
Bolman, L. G., & Deal, T. E. (2017). Reframing organizations: Artistry, choice, and leadership (6th ed.). Jossey-Bass.
โฆษณา