2 ก.พ. เวลา 01:03 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Andrei Rublev บทกวีแห่งความศรัทธา ศิลปะ และความเป็นมนุษย์

Andrei Rublev(1966)-ภาพยนตร์โดย Andrei Tarkovsky หนึ่งในผู้กำกับที่สไตล์การทำหนังที่แตกต่างจากกระแสหลักอย่างสิ้นเชิง ภาพยนตร์ของเขาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงแบบฮอลลีวูด แต่เป็น “งานศิลปะ” ที่สะท้อน จิตวิญญาณของมนุษย์, เวลา, ศาสนา และความหมายของชีวิต และครั้งนี้เขาได้เล่าชีวประวัติของ Andrei Rublev นักวาดภาพไอคอนนิคศาสนาขาวรัสเซียที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 15
Rublev ต้องเผชิญกับ ยุคมืดของรัสเซีย ซึ่งเต็มไปด้วย สงคราม, การทรยศ, ความโหดร้ายของศาสนา และความทุกข์ของมนุษย์ เขาเดินทางไปพร้อมกับเพื่อนจิตรกรเพื่อแสวงหาโอกาสในการสร้างศิลปะ แต่กลับพบว่าศิลปินไม่ได้รับการยกย่องเท่ากับชนชั้นปกครอง และต้องทำงานภายใต้กฎของศาสนาและรัฐที่เข้มงวด
ภาพยนตร์แบ่งออกเป็น ตอนย่อย หลายตอนที่เล่าเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของ Rublev ผ่านฉากที่เต็มไปด้วย ความทุกข์ และศรัทธาที่ถูกทดสอบ Andrei Rublev ไม่ได้เป็นเพียงภาพยนตร์ชีวประวัติของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นการสำรวจเชิงปรัชญา ซึ่งวันนี้ผมจะเอามาเล่าให้คุณฟัง
📌ศิลปินควรเป็นเพียงผู้รับใช้พระเจ้าหรือไม่?📌
หนึ่งในคำถามหลักที่ Tarkovsky ตั้งขึ้นคือ “หน้าที่ของศิลปินคืออะไร? ในช่วงต้นของเรื่อง เราเห็นว่า Rublev วาดภาพไอคอนทางศาสนาด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและศรัทธาแรงกล้า เช่นเดียวกับศิลปินคนอื่น ๆ ในยุคนั้นที่เชื่อว่าศิลปะเป็นเพียง เครื่องมือสื่อสารระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
ในบริบทของรัสเซียยุคกลาง ศิลปินไม่มีเสรีภาพในการแสดงออก แต่ต้องทำงานภายใต้กรอบของศาสนาและข้อบังคับของโบสถ์ Rublev ได้รับโอกาสให้วาดจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์ แต่ต้องทำตามคำสั่งของชนชั้นปกครองและศาสนาเท่านั้น หนังแสดงให้เห็นว่า ศิลปะไม่สามารถแยกออกจากอำนาจของศาสนาได้ และศิลปินถูกคาดหวังให้เป็น เพียงผู้รับใช้ของพระเจ้า ไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์อย่างอิสระ ในภาพยนตร์ เราเห็น Rublev ต่อสู้กับคำถามว่า เขาควรสร้างงานศิลปะเพียงเพื่อพระเจ้าหรือเพื่อมนุษย์ด้วย?
เขาเริ่มต้นจากการเป็นศิลปินที่อุทิศให้พระเจ้า แต่เมื่อเขาเห็น ความโหดร้ายของมนุษย์ (สงคราม, การทรยศ, ความรุนแรง) เขาสูญเสียศรัทธาและ ละทิ้งการวาดภาพไปช่วงหนึ่ง แต่ในตอนท้ายของเรื่อง เขาได้แรงบันดาลใจจาก Boriska เด็กหนุ่มผู้กล้าสร้างระฆังทั้งที่ไม่รู้จริง ทำให้เขาตระหนักว่า ศิลปะไม่ได้มีไว้แค่เพื่อพระเจ้า แต่มันมีไว้เพื่อให้มนุษย์ได้สัมผัสความงามและความหวังด้วย
📌ศิลปินกับโลกอันแสนโหดร้าย ศิลปะยังจะมีค่าในโลกเช่นนี้หรือไม่?📌
Rublev เริ่มต้นเรื่องด้วยความศรัทธาต่อศิลปะและพระเจ้า แต่เมื่อเขาต้องเผชิญกับ ความโหดร้ายของมนุษย์ สงคราม และความทรยศ เขาเริ่มตั้งคำถามว่า
ศิลปะมีค่าอะไร ถ้าโลกเต็มไปด้วยความทุกข์?”
พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าเขาปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ต้องทนทุกข์?”
ฉากการบุกทำลายเมือง Vladimir ของพวก ตาร์ตาร์ เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความคิดของ Rublev เปลี่ยนไป เมื่อเมืองถูกเผา พระถูกสังหาร หญิงสาวถูกจับไปเป็นทาส Rublev พยายามช่วยหญิงสาวคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยเธอได้ สิ่งนี้ทำให้เขา รู้สึกสิ้นหวังและหมดศรัทธาในทั้งศิลปะและศาสนา เมื่อ Rublev ไม่สามารถรับมือกับโลกที่โหดร้ายได้
เขาเลือกที่จะเงียบและหยุดวาดภาพ เขาละทิ้งศิลปะเพื่อปิดกั้นตัวเองจากความเจ็บปวด ใช้ชีวิตเป็นพระในอารามอย่างเงียบ ๆ ไม่พูด ไม่สร้างสรรค์ เป็นเวลาหลายปีที่เขาไม่สามารถกลับมาทำงานศิลปะได้ นี่สะท้อนถึงคำถามสำคัญว่า “ศิลปินสามารถอยู่ได้โดยไม่สร้างสรรค์หรือไม่?”
แม้ Rublev เลือกที่จะเลิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ
แต่สุดท้ายเขาพบว่า ศิลปะคือส่วนหนึ่งของตัวเขา และเขาไม่สามารถละทิ้งมันได้ตลอดไป
📌เสรีภาพและพันธนาการ📌
ตลอดทั้งเรื่อง Rublev พยายาม หนีจากโลกแห่งความรุนแรงและความทุกข์ หลังจากที่เขาเห็น สงคราม การทรยศ และความโหดร้ายของมนุษย์ เขาตัดสินใจ หยุดวาดภาพและใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบในอาราม เขาเลือกความเงียบ เพราะเขาไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่โหดร้ายนี้อีกต่อไป
แต่ Tarkovsky ได้ตั้งคำถามว่า การหนีจากความจริงเป็นไปได้จริงหรือ? หรือมันเป็นเพียงภาพลวงตาของเสรีภาพ? Rublev คิดว่า การหยุดสร้างจะทำให้เขาหลุดพ้นจากความทุกข์ของโลก แต่ในความเป็นจริง มันกลับทำให้เขาสูญเสียตัวตนของตัวเองเขาใช้ชีวิตอยู่ในอาราม
สถานที่ที่ดูเหมือนจะสงบและปราศจากความรุนแรงของโลกภายนอก แต่แท้จริงแล้ว มันคือการจองจำทางจิตวิญญาณ ศิลปินที่หมดศรัทธาในการสร้างสรรค์ผลงาน เปรียบเสมือน นกที่ถูกขังในกรง แม้จะมีเสรีภาพจากโลกภายนอก แต่กลับไม่มีเสรีภาพทางจิตวิญญาณ
หนังแสดงให้เห็นว่า เสรีภาพที่แท้จริงคือ “การลงมือทำ” ไม่ใช่การหนีจากโลก Rublev ตระหนักว่า การหยุดสร้างศิลปะไม่ได้ทำให้เขาหลุดพ้นจากพันธนาการ แต่กลับทำให้เขาเป็นนักโทษของตัวเอง Tarkovsky กำลังบอกเราว่า เสรีภาพไม่ได้หมายถึงการอยู่ห่างจากความทุกข์ แต่มันคือการเผชิญหน้ากับมันและสร้างสิ่งที่มีความหมายขึ้นมา
📌ความศรัทธาที่แท้จริงคืออะไร?📌
Andrei Rublev ไม่ใช่หนังศาสนาแบบที่เชิดชูศาสนาโดยไร้ข้อกังขา แต่ Tarkovsky กำลังตั้งคำถามสำคัญเกี่ยวกับ ความศรัทธา และ บทบาทของศาสนาในชีวิตมนุษย์ ว่า ศรัทธาที่แท้จริงควรตั้งอยู่บนรากฐานของพระเจ้าหรือมนุษย์? หรือศรัทธาที่บริสุทธิ์นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดโดยอำนาจทางศาสนา
ในเรื่องแสดงให้เห็นว่าศาสนาในยุคนั้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความเชื่อ แต่เป็นเครื่องมือทางอำนาจ โบสถ์และพระเป็น ศูนย์กลางของศิลปะ วัฒนธรรม และอำนาจทางการเมือง นักบวชและผู้ปกครองใช้ศาสนาเป็น เครื่องมือในการควบคุมประชาชน พระหลายคนในเรื่องถูกนำเสนอว่า ไม่ได้สมบูรณ์แบบและยังมีอัตตา เช่น Kirill ที่มีใจอิจฉาริษยา Rublev
แม้ในตอนแรก Rublev เชื่อว่าศิลปะของเขาจะช่วยนำทางจิตวิญญาณของมนุษย์ แต่เมื่อเขาเห็นว่า ศาสนาไม่สามารถปกป้องผู้บริสุทธิ์จากสงครามและความโหดร้าย เขาเริ่มตั้งคำถามว่า “พระเจ้ามีอยู่จริงหรือ?” และ “ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมโลกถึงโหดร้ายขนาดนี้?” Rublev เริ่มเห็นว่าความศรัทธาในพระเจ้าไม่ได้ปกป้องมนุษย์จากความทุกข์ของโลก
เขาเริ่มสงสัยว่า “ศิลปะของเขามีประโยชน์อะไร ถ้าศาสนาไม่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้?” นี่ทำให้เขาตัดสินใจ หยุดวาดภาพและปิดปากเงียบเป็นเวลาหลายปี จนเมื่อเขาพบกับ Boriska เด็กชายที่กล้าสร้างระฆัง แม้เขาเองจะไม่แน่ใจว่าทำได้จริงหรือไม่ Tarkovsky แสดงให้เห็นว่าศรัทธาที่แท้จริงไม่ได้จำเป็นต้องอยู่ในกรอบของศาสนาเสมอไป แต่บางครั้ง มันอยู่ในหัวใจของมนุษย์ที่กล้าลงมือทำ แม้จะไม่แน่ใจในผลลัพธ์ก็ตาม
📌การพบกับ Boriska ศิลปะคือความกล้าที่จะสร้าง แม้ไม่รู้ผลลัพธ์📌
การพบกันระหว่าง Andrei Rublev และ Boriska ในช่วงท้ายของภาพยนตร์เป็น จุดเปลี่ยนสำคัญของแนวคิดปรัชญาเกี่ยวกับศิลปะและการสร้างสรรค์ ตลอดทั้งเรื่อง Rublev ต้องเผชิญกับ ความทุกข์ ความโหดร้าย และการสูญเสียศรัทธา จนกระทั่งเขาตัดสินใจละทิ้งการวาดภาพ แต่การเฝ้ามอง Boriska เด็กชายที่กล้ารับภารกิจหล่อระฆังยักษ์ แม้เขาเองจะไม่รู้วิธีทำจริง ๆทำให้ Rublev ค้นพบ ความหมายใหม่ของศิลปะและศรัทธา
Boriska เป็นตัวแทนของ ศิลปินที่กล้าสร้างสรรค์ แม้จะเต็มไปด้วยความกลัวและความเจ็บปวด ซึ่งต่างจาก Rublev ที่เลือกจะหนีจากความทุกข์ Boriska ยอมรับมันและใช้มันเป็นแรงผลักดัน เมื่อ Rublev เห็น Boriska เขาตระหนักได้ว่า ศิลปะไม่ใช่แค่เรื่องของความศรัทธา แต่มันคือความกล้าที่จะสร้าง แม้จะไม่แน่ใจในผลลัพธ์ก็ตาม แนวคิดของ Boriska คล้ายกับแนวคิดของ Albert Camus ในปรัชญา Existentialism มนุษย์ไม่ได้ถูกกำหนดให้มีศรัทธาหรือเป้าหมายตั้งแต่แรก แต่เขาสร้างความหมายขึ้นมาเองผ่านการกระทำ
แม้Boriska ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ จะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ แต่แทนที่จะปล่อยให้ความกลัวเป็นอุปสรรค เขาลงมือทำ และนั่นเองที่ทำให้เขากลายเป็นผู้สร้างที่แท้จริง Rublev เฝ้าดู Boriska ทำงานภายใต้ความกดดัน แม้จะหวาดกลัว แต่เขายังคงเดินหน้าต่อ สุดท้าย Rublev ตัดสินใจกลับมาวาดภาพอีกครั้ง เพราะเขาเข้าใจว่าการสร้างสรรค์ไม่ได้ต้องการศรัทธาต่อพระเจ้าเสมอไป แต่มันต้องการ “ความกล้าที่จะทำ”
📌อำนาจและการทรยศ📌
หนึ่งในธีมสำคัญของ Andrei Rublev คือ อำนาจและการทรยศ ซึ่งเป็นสิ่งที่กำหนดชะตากรรมของตัวละครและสะท้อนถึง ความไม่แน่นอนของโลกมนุษย์ ในยุคมืด รัสเซียเต็มไปด้วย ความขัดแย้งทางการเมือง สงคราม และการแย่งชิงอำนาจ ที่ทำให้ ศิลปะและศาสนาไม่สามารถคุ้มครองใคร หนึ่งในฉากที่แสดงถึงความโหดร้ายของจิตใจมนุษย์คือ
ฉากการทำลายเมือง Vladimir ซึ่งถูกโจมตีโดย พวกตาร์ตาร์ ที่ได้รับความช่วยเหลือจาก เจ้าชายรัสเซียองค์น้อง ซึ่งทรยศพี่ชายของเขา และทำข้อตกลงกับพวกตาร์ตาร์เพื่อให้ตัวเองขึ้นสู่อำนาจ
นอกจากอำนาจทางการเมืองแล้ว หนังยังแสดงให้เห็นว่า
แม้แต่ในหมู่พระเองก็มีการหักหลังและความอิจฉาริษยา ผ่านตัวละครKirill พระที่เป็นเพื่อนกับ Rublev เต็มไปด้วยความอิจฉา เมื่อ Theophanes the Greek เสนอให้ Rublev เป็นลูกศิษย์ Kirill ไม่ได้รับเลือกและรู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้าม Kirill โกรธแค้นและ ออกจากกลุ่มไปด้วยความอาฆาต นี่แสดงให้เห็นว่าอำนาจมักมาพร้อมกับการทรยศ และผู้มีอำนาจพร้อมจะหักหลังกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แม้แต่ในโลกของศาสนา ความอิจฉาและการทรยศก็ยังคงมีอยู่
📌บทสรุปของ Andrei Rublev – บทกวีแห่งภาพยนตร์ที่ไร้กาลเวลา 📌
Andrei Rublev (1966) ของ Andrei Tarkovsky นับเป็นงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ ที่ผสมผสาน ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา และศิลปะ เข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง
Tarkovsky ใช้ งานภาพอันงดงาม สัญลักษณ์เชิงลึก และการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบแต่ทรงพลัง เพื่อสร้างภาพยนตร์ที่ให้มากกว่าความบันเทิง แต่มันคือ ประสบการณ์ที่สะเทือนจิตวิญญาณ ทุกองค์ประกอบของหนัง ตั้งแต่ ฉากสงครามที่โหดร้าย ไปจนถึงภาพของ Boriska ที่กล้าสร้างระฆัง สะท้อนถึงคำถามที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับศิลปะและศรัทธา
หนังเรื่องนี้ เป็นมากกว่าภาพยนตร์ชีวประวัติ แต่มันเป็นบทกวีแห่งจิตวิญญาณ ตัวหนังไม่เพียงแค่เล่าเรื่อง แต่ยังถ่ายทอด ปรัชญาแห่งโลกภาพยนตร์ ที่ท้าทายความคิดและอารมณ์ของผู้ชม มันคือภาพยนตร์ที่ไม่เพียงแต่จะให้เราดู แต่ให้เรารู้สึก และกระตุ้นให้เราตั้งคำถามถึงศรัทธาและบทบาทของเราในโลกใบนี้
นี่คือผลงานที่แสดงให้เห็นว่า ศิลปะสามารถยิ่งใหญ่กว่าศาสนา อำนาจ และกาลเวลา เพราะแม้โลกจะโหดร้าย แต่ศิลปะจะยังคงอยู่เพื่อให้มนุษย์ค้นพบความหมายของตนเองเสมอ.
โฆษณา