[BeautyInvestor] 🚨 วิเคราะห์ด่วน! Trade War 2 ปะทุแล้ว เตรียมรับแรงกระแทก🔻 การประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากร (Tariffs) ครั้งใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสร้างกระแสสะเทือนครั้งใหญ่ในเวทีเศรษฐกิจโลก โดยมีรายละเอี

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

•

7 ชั่วโมงที่แล้ว • หุ้น & เศรษฐกิจ

🚨 วิเคราะห์ด่วน! Trade War 2 ปะทุแล้ว เตรียมรับแรงกระแทก🔻

การประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากร (Tariffs) ครั้งใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสร้างกระแสสะเทือนครั้งใหญ่ในเวทีเศรษฐกิจโลก โดยมีรายละเอียดของการขึ้นภาษีดังนี้ค่ะ

1️⃣ ภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก

2️⃣ ภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากแคนาดา (ยกเว้นกลุ่มพลังงาน)

3️⃣ ภาษี 10% สำหรับสินค้ากลุ่มพลังงานของแคนาดา

4️⃣ เพิ่มภาษีอีก 10% สำหรับสินค้าจากจีน

ทั้ง 3 ประเทศนี้เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ โดยคิดเป็นประมาณ 43% ของการนำเข้าทั้งหมด (ข้อมูลปี 2023) หรือเกือบ 5% ของ GDP สหรัฐฯ การเก็บภาษีรอบนี้จึงถูกมองว่า “จัดหนัก” และอาจสร้างผลกระทบกว้างขวางต่อห่วงโซ่อุปทานและการบริโภคภายในประเทศ

👀 สาเหตุที่การขึ้นภาษีครั้งนี้น่าจับตา

👉🏻 อัตราภาษีเฉลี่ย (Average Tariff Rate) จะพุ่งสูงขึ้นจากประมาณ 3% สู่ระดับ 10.7% ซึ่งเป็นการดีดตัวขึ้นครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษ

👉🏻 มูลค่าการค้าขนาดมหาศาล โดย เม็กซิโก แคนาดา และจีน รวมกันมีมูลค่าการค้ากับสหรัฐฯ กว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ (ปี 2023) จึงไม่ใช่การเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่เป็นมาตรการที่กระทบสินค้าเกือบครึ่งหนึ่งของการนำเข้าทั้งหมด

👉🏻 เกิด Supply Shock โดยผู้ประกอบการในสหรัฐฯ จะต้องจ่ายต้นทุนเพิ่มขึ้นสำหรับชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบที่เคยนำเข้าในราคาที่ต่ำกว่าจากประเทศเหล่านี้

🇺🇸 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

👉🏻 GDP สหรัฐฯอาจหดตัวสูงสุดถึง 1.2%

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เคยประเมินในสมัยทรัมป์ดำรงตำแหน่งรอบก่อนว่า การปรับเพิ่มอัตราภาษีโดยเฉลี่ยทุกๆ 1 จุดเปอร์เซ็นต์ อาจทำให้ GDP สหรัฐฯ ลดลงราว 0.14% และดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นราว 0.09%

ดังนั้นในกรณีนี้ เมื่อภาษีเฉลี่ยขยับจาก 3% เป็น 10.7% (หรือเพิ่มขึ้นราว 8 จุดเปอร์เซ็นต์) หมายความว่า GDP สหรัฐฯ อาจถูกฉุดรั้งลงถึง 1.2% (8 x 0.14)

ส่วนอัตราเงินเฟ้อหรือ Core PCE อาจปรับเพิ่มราว 0.7% เนื่องจากราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้นจะถูกส่งต่อมาถึงผู้บริโภค

👉🏻 เงินเฟ้อและการบริโภคภายในประเทศ

การขึ้นภาษีสินค้าบริโภคหลักจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา อาจทำให้สินค้าขายปลีกหลากหลายชนิดปรับราคาขึ้น ผู้บริโภคอาจใช้จ่ายน้อยลงในบางหมวด หรือเปลี่ยนไปหาสินค้าทดแทนจากแหล่งอื่น

สำหรับกลุ่มสินค้าทุนหรือสินค้าระดับอุตสาหกรรม (Investment & Intermediate Goods) ที่ผู้ผลิตในสหรัฐฯ ต้องนำเข้าเพื่อผลิตต่อ หากต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นอย่างมาก อาจกระทบการลงทุนของธุรกิจอีกเช่นกัน

👉🏻 ห่วงโซ่อุปทานซับซ้อน

อุตสาหกรรมยานยนต์ ในอเมริกาเหนือ เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ชิ้นส่วนข้ามพรมแดนไปมาหลายรอบ ก่อนจะกลายเป็นรถยนต์สำเร็จรูป การขึ้นภาษีจะทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตสัญชาติสหรัฐฯ เองสูงขึ้นด้วย เพราะสหรัฐฯ จะเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าที่ประกอบด้วยวัตถุดิบต้นทางบางส่วนจากสหรัฐฯ อีกที

สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จากจีน ซึ่งเคยมีข้อยกเว้นในอดีต อาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป หากถูกปรับขึ้นภาษีอย่างจริงจัง ก็จะกระทบบริษัท IT ของสหรัฐฯ เช่น Apple หรือผู้ผลิตชิ้นส่วนในเครือข่ายซัพพลายเชน

🔥 การตอบโต้ของคู่ค้า

เมื่อสหรัฐฯ โจมตีด้วยกำแพงภาษี ประเทศคู่ค้าสำคัญอย่าง เม็กซิโก แคนาดา และจีนต่างมีวิธีการตอบโต้หลายรูปแบบ ตั้งแต่มาตรการขึ้นภาษีสวนกลับมา ไปจนถึงข้อจำกัดทางการค้าอื่นๆ

👉🏻 ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ

แคนาดาและเม็กซิโกมีรายงานว่าจัดทำรายชื่อสินค้าสหรัฐฯ พร้อมใช้งานเพื่อเก็บภาษีตอบโต้ทันที อาจเลือกสินค้าที่อ่อนไหวทางการเมือง เช่น สินค้าเกษตร (เนื้อวัว ข้าวโพด ถั่วเหลือง) ซึ่งกระทบผู้ผลิตในรัฐสำคัญทางการเมืองของสหรัฐฯ

จีนอาจปรับเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ เช่น สินค้าการเกษตรและพลังงาน หรือตั้งกำแพงทางเทคนิค เช่น การเข้มงวดมาตรฐานนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารหรือสินค้าเทคโนโลยี

👉🏻 จำกัดตลาดหรือเข้มงวดกฎเกณฑ์

จีนอาจใช้วิธีอื่นๆ นอกจากการขึ้นภาษี เช่น การชะลอออกใบอนุญาตให้บริษัทอเมริกันเข้ามาลงทุน หรือเพิ่มเงื่อนไขด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อกดดันภาคธุรกิจสหรัฐฯ

เม็กซิโกและแคนาดาอาจพิจารณามาตรการเชิงโครงสร้าง เช่น ยกระดับกฎระเบียบด้านมาตรฐานสินค้า สุขอนามัย สิ่งแวดล้อม หรือยกระดับการตรวจสอบสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ด่านชายแดน

👉🏻 การฟ้องร้องผ่านองค์การการค้าโลก (WTO)

แม้ในสมัยทรัมป์ดำรงตำแหน่งครั้งแรก กระบวนการไต่สวนทางกฎหมายใน WTO จะดำเนินไปค่อนข้างช้า แต่ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ประเทศคู่ค้าใช้กดดันสหรัฐฯ ทางกฎหมายระหว่างประเทศค่ะ

👉🏻 การหาตลาดและพันธมิตรใหม่

ประเทศที่ถูกเก็บภาษีสูง อาจปรับยุทธศาสตร์การค้าด้วยการมองหาประเทศคู่ค้าอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น จีนพยายามกระจายตลาดส่งออกไปยังเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง หรือยุโรป

โดยรวมแล้ว การตอบโต้ในลักษณะ “ภาษีสวนกลับ” มักนำไปสู่สงครามการค้า (Trade War) ในวงกว้าง ซึ่งยิ่งเพิ่มต้นทุนด้านราคาสินค้า และลดโอกาสขยายตัวทางเศรษฐกิจของทุกฝ่าย หรือเป็น Lose-Lose Situation นั่นเองค่ะ

🔻ผลกระทบเชิงลึกต่อเม็กซิโก แคนาดา และจีน

🇲🇽 เม็กซิโก

ประมาณ 16% ของ GDP เม็กซิโก มาจากการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ หากมาตรการขึ้นภาษียืดเยื้อ เม็กซิโกอาจเผชิญภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยโมเดลของ WTO คาดว่า การนำเข้าของสหรัฐฯ จากเม็กซิโกอาจลดลงถึง 70% ในระยะกลางถึงยาว หากซัพพลายเชนเริ่มย้ายฐานไปที่อื่น

ทั้งนี้ทางการเม็กซิโกอาจตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าเกษตรหรือสินค้าอุตสาหกรรมบางรายการของสหรัฐฯ เจาะจงรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองในสหรัฐฯ เพื่อหวังแรงกดดันกลับไปถึงรัฐบาลวอชิงตัน

🇨🇦 แคนาดา

แคนาดาพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ กว่า 14% ของ GDP แม้จะมีข้อยกเว้นบางส่วนในสินค้าพลังงาน (เก็บภาษีแค่ 10%) แต่สินค้าอื่นๆ จะถูกเก็บภาษีสูงถึง 25% ซึ่งส่งผลเสียต่อภาคการผลิตอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีเป็นไปได้ว่าแคนาดาจะกำหนดภาษีตอบโต้บนสินค้าเกษตรหรือสินค้าประเภทเครื่องจักรจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกลุ่มที่สหรัฐฯส่งออกไปแคนาดาในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงอีกเช่นกัน

🇨🇳 จีน

แม้การส่งออกไปสหรัฐฯ จะสูงในเชิงมูลค่า แต่เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจจีนทั้งหมดแล้ว อยู่ที่ประมาณ 2.3% ของ GDP เท่านั้น ดังนั้นถือว่าความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมอาจไม่สูงเท่าเม็กซิโกหรือแคนาดา

อย่างไรก็ดี จีนเคยทำ trade war กับสหรัฐฯ ในช่วงทรัมป์สมัยแรก และได้พยายามปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เน้นการบริโภคในประเทศและการค้าในภูมิภาคอื่นๆ ทำให้อาจรับมือได้ดีกว่า

ขณะที่จีนมีหลายมาตรการที่อาจเลือกใช้ตอบโต้กลับ เช่น ขึ้นภาษีหรือกดดันทางกฎหมายต่อบริษัทสหรัฐฯ ที่ทำธุรกิจในจีน ตลอดจนจำกัดการส่งออกวัตถุดิบสำคัญ (เช่น แร่หายาก) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่จีนใช้ต่อรองในหลายเวที

🇻🇮 ทรัมป์คาดหวังอะไร?

👉🏻 Re-Shoring

หนึ่งในจุดยืนหลักของทีมทรัมป์ คือการดึงฐานการผลิตกลับเข้าสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นการจ้างงานและลดการขาดดุลการค้า แต่ในทางปฏิบัติ การย้ายฐานผลิตไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเจอต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น ขาดโครงสร้างพื้นฐานบางด้าน รวมถึงขาดแรงงานที่มีทักษะพร้อมรองรับในทันที

👉🏻 กดดันให้คู่ค้าทำตามข้อเรียกร้องสหรัฐฯ

ทรัมป์เคยใช้ “ไม้แข็ง” ลักษณะนี้มาก่อน โดยหวังให้คู่ค้าปรับเปลี่ยนนโยบายภายใน เช่น การป้องกันชายแดนของเม็กซิโก หรือการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาในจีน

อย่างไรก็ตาม บทเรียนจาก “ข้อตกลงการค้าเฟส 1” กับจีนก่อนหน้านี้ พบว่าต่อให้มีการลงนาม แต่ท้ายที่สุดจีนก็ไม่ได้ปฏิบัติตามในหลายเงื่อนไขให้ครบถ้วนค่ะ

👉🏻 เพิ่มรายได้ภาษี

รายได้จากภาษีนำเข้าอาจนำไปชดเชยรายได้ภาครัฐที่ขาดจากมาตรการลดภาษี (Tax Cuts and Jobs Act) อย่างไรก็ตาม ถ้าการค้าโดยรวมลดลงมาก รายได้จากภาษีอาจไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่คาด หรืออาจไม่คุ้มกับผลเสียของเศรษฐกิจโดยรวม

🎯 บทสรุปและสิ่งที่ต้องจับตา

👉🏻 ผลกระทบต่อสหรัฐฯ: การปรับขึ้นภาษีครั้งใหญ่ทำให้ “อัตราภาษีเฉลี่ย” กระโดดขึ้นสู่ระดับ 10.7% ซึ่งอาจฉุด GDP สหรัฐฯ ลงราว 1.2% และดันเงินเฟ้อขยับขึ้น 0.7% ตามการประเมินโมเดลของ Fed

👉🏻 เม็กซิโก แคนาดา เสี่ยงหนักกว่าจีน: เพราะอัตราส่วนการส่งออกที่พึ่งพาสหรัฐฯ สูงกว่ามาก อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือตกต่ำชัดเจน

👉🏻 การตอบโต้ (Retaliation) จะเกิดขึ้นแน่นอน: แต่ละประเทศสามารถเก็บภาษีสินค้าอเมริกันในหมวดสินค้าที่มีความสำคัญ โดยอาจเจาะกลุ่มที่มีผลต่อการเมืองสหรัฐฯ หรือใช้มาตรการกีดกันรูปแบบอื่นๆ ซึ่งอาจทวีความรุนแรงเป็นสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ

👉🏻 ความไม่แน่นอนสูง: ตัวเลข 1.2% (GDP) และ 0.7% (เงินเฟ้อ) เป็นค่ากลางที่มีโอกาสเบี่ยงเบนตามการเจรจา ถ้าคู่ค้าตอบโต้หนักหรือสหรัฐฯ เก็บภาษีต่อเนื่องนาน ผลลัพธ์อาจย่ำแย่กว่านี้ หรือถ้าทุกฝ่ายตกลงกันได้เร็วก่อนความเสียหายจะลุกลาม ตัวเลขอาจไม่เลวร้ายเท่าไรค่ะ

โดยสรุป นโยบายภาษีของทรัมป์รอบนี้เป็นหนึ่งในมาตรการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงที่สุดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนทั้งด้านการค้าและการลงทุน ไม่เพียงสหรัฐฯ แต่ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ความเคลื่อนไหวของประเทศคู่ค้าในการตอบโต้จะเป็นปัจจัยชี้วัดหลักว่าจะเกิด “สงครามการค้าเต็มรูปแบบ” หรือจะมีการเจรจาประนีประนอมเพื่อจำกัดความเสียหายทางเศรษฐกิจของทุกฝ่ายต่อไปค่ะ

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

🚨 วิเคราะห์ด่วน! Trade War 2 ปะทุแล้ว เตรียมรับแรงกระแทก🔻

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน