3 ก.พ. เวลา 04:47 • กีฬา

ลิเวอร์พูลชนะบอร์นมัธ, อาร์เซนอลชนะซิตี้ โมเมนตัมใครดีกว่า?

หงส์แดงชนะอีก 12 เกมจะเป็นแชมป์? ตอนนี้จะเห็นการโพสต์ประมาณนี้ ซึ่งข้อเท็จจริงยังไม่ถูกต้องเสียทีเดียว
โอเคว่าถ้าชนะอีก 12 เกมจะเป็นแต้มเท่ากับที่อาร์เซนอลมีโอกาสทำได้มากที่สุด(ชนะ 14 เกมที่เหลือ) และตอนนี้ประตูได้เสียของลิเวอร์พูลดีกว่ามาก (ห่างอยู่ 8 ประตู)
 
แต่ถ้าคิดในมิติว่าลิเวอร์พูลชนะ 12 เกม(แพ้ 3) อาร์เซนอลชนะ 14 เกมที่เหลือ แปลว่าผลต่างประตูได้เสียลิเวอร์พูลจะลบอย่างน้อย -3 และอาร์เซนอลชนะมากกว่า 2 เกม โอกาสที่ 8 ประตูจะลดมาเกือบเท่ากันยังถือว่าเป็นไปได้
ยิ่งพรีเมียร์ลีกถ้าใครเห็นสกอร์การเจอกันของไบรท์ตัน, ฟอเรสต์ และบอร์นมัธ วนกันไป การยิงเยอะๆ ในเกมเดียวเป็นไปได้ อย่างเช่นสกอร์ 7-0 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ดังนั้นตามทฤษฎีจริงๆ ต่อให้ลิเวอร์พูลชนะอีก 12 เกม ก็ยังไม่ได้แชมป์ครับ แถม 3 เกมสุดท้าย ลิเวอร์พูลมีเกมที่จะเจอกับอาร์เซนอล ดังนั้นประตูได้เสียเกมนั้นจะไป-กลับทันที ห่าง 8 ประตู แต่ถ้าลิเวอร์พูลแพ้ 3 จะ -3 เป็นอย่างน้อย 5 ประตูเจอเกมไป-กลับก็เกือบทันแล้ว
อันนี้พูดในเรื่องทฤษฏีเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ ถ้าลิเวอร์พูลชนะ 12 จาก 15 เกม ผมก็ว่าได้แชมป์แน่ เพราะการที่อาร์เซนอลชนะรวด 14 เกมที่เหลือนั้นยากกว่ามาก!
สิ่งที่เป็นไปได้ยากในเวลาเดียวกันคือทั้งสองทีมจะได้เจอกันในเกมที่ 3 จากท้าย ซึ่งถ้าเก็บแต้มได้พอๆ กัน(ตารางฟอร์มระยะหลัง) เกมนั้นอาจจะเป็นเกมตัดสินแชมป์ได้เลย อาจจะเป็นเกมที่แต้มขาด หรือรักษาความหวังของอาร์เซนอล
แฟนหงส์ก็อยากปิดเกมให้เร็วที่สุด ไม่อยากให้ไปถึงเกมนั้น (แต่ถ้าไปถึงเกมนั้นแล้วได้เปรียบ 9 แต้มได้ก็แทบจบกลายๆ) แต่กลับกันแฟนทีมอื่นก็ต้องการอะไรที่ตรงกันข้าม หรือกระทั่งให้อาร์เซนอลพลิกสถานการณ์
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่? ตอนแรกคิดว่าจะ RECAP ในวันเสาร์ แต่รอดูอีกนิด เพราะเกมวันอาทิตย์สำคัญไม่น้อย และเดือดไม่น้อย นานๆ ได้อ่านคอมเมนต์ของแฟนสีฟ้ากับปืนรบกันตามเพจต่างๆ ก็เพลินดีเหมือนกัน
โดยเฉพาะประเด็นของเออร์ลิง ฮาลันด์ การดีใจแบบไปเยอะเย้ยคู่แข่งของเด็กปืน และการตอบกลับด้วยการชี้ตราแชมป์พรีเมียร์ลีกที่เสื้อ มันเริ่มมาตั้งแต่เกมก่อนหน้านี้ที่ฮาลันด์ไปพูดกับอาร์เตเต้า แต่ผมขอข้ามดราม่าพวกนี้ดีกว่า เอาแค่ความสำคัญของเกม
เริ่มไปตั้งแต่ก่อนเข้าสัปดาห์ที่ผ่านมา แฟนบอลปืนจะมีความหวังอยู่ที่บอร์นมัธ ซึ่งจริงๆ นับรวมแฟนผี และซิตี้ด้วย พวกเขาหวังว่าบอร์นมัธจะหยุดลิเวอร์พูลได้ เพราะทีมนี้หยุดทีมกลุ่มหัวตารางได้หมดในเกมก่อนหน้านี้ หรือนับเฉพาะซิตี้กับปืนพวกเขาชนะได้เลยในบ้าน
บอร์นมัธไม่แพ้ 11 เกมติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก และ 12 เกมทุกรายการ ดังนั้นมันเป็นสิทธิ์ที่พวกเขาหวังได้
แต่ในฐานะแฟนบอลลิเวอร์พูล บอกตรงๆ ว่าไม่เคยกลัวเกมแบบนี้เลย!
อันนี้ไม่ใช่การขิงแต่อย่างใด ผมว่าเด็กหงส์รู้สึกได้ดี และไม่ชอบการเจอกับ “เสือลำบาก” ยกตัวตัวอย่างเร็วๆ ให้เห็นง่ายที่สุด ผมว่าเด็กหงส์ชอบเจอแมนฯ ยูไนเต็ดในช่วงที่มั่นใจ หรือชนะมา มากกว่าช่วงที่พวกเขา “คับขัน”
ผลเสมอ 2-2 ที่แอนฟิลด์เป็นตัวอย่างช่วงที่ฟอร์มปีศาจแดงไม่ดีนัก การเจอกับทีมที่เพิ่งเละเทะมาไม่ใช่เรื่องสนุก กลับกันถ้าใครจำเกม 7-0 ได้ นั่นเป็นช่วงที่ดีที่สุดของแมนฯ ยูไนเต็ดในยุคของเทน ฮาก พวกเขามั่นใจ และกล้าเปิดแลก ตามด้วยจุดจบ...
บอร์นมัธเพิ่งชนะฟอเรสต์ 5-0 และยิง 9 ประตูใน 2 เกมหลังสุด นั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กหงส์จะกังวลจริงๆ หรอก แม้จะลงสถิติบอร์นมัธมากมาย แต่ก็ให้รู้ว่าการหยุดพวกเขามันจะเจ๋งแค่ไหน และตัวอย่างในซีซั่นนี้เราทำมากับหลายทีม แม้แต่กับลีลล์ในแชมเปียนส์ลีก
พูดถึงเกมโดยตรง หลายคนมองว่าบอร์นมัธทำได้ดี หรือชนะคะแนนลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ ซึ่งจากที่ได้ดูเหมือนกัน ผมก็เห็นด้วย การจ่ายบอล การไล่บอล บอร์นมัธทำได้อย่างมั่นใจ คมทุกจังหวะ การไล่เพรสซิ่งอะไรต่างๆ ขาดแค่จังหวะสุดท้าย
แต่ในภาพรวมกับผล 2-0 ในเกมนี้ หลังจากลิเวอร์พูลพักตัวหลักกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีจังหวะเซฟของอลีสซง ไปชนบอลชนเสาสองครั้ง แต่ตลอดทั้งเกมที่คนอาจจะมองข้ามไป
“ผมว่าลิเวอร์พูลยังไม่เอาจริง” มันอาจจะฟังดูโม้ แต่ความหมายนี้ไม่ได้ดูถูกบอร์นมัธ แต่จังหวะเกมมันเป็นอย่างนั้น พอนำ 1-0 ลิเวอร์พูลไม่ได้ต้องเร่ง และทั้งเกมบอร์นมัธเหมือนกับวัวกระทิงวิ่งเข้าหามาธาดอร์
ลิเวอร์พูลใช้ “เกียร์ 3” ตลอดทั้งเกมเป็นส่วนใหญ่ เต็มที่อาจจะมีช่วงที่เร่ง “เกียร์ 4” แต่ยังไปไม่ถึง “เกียร์ 5”
สมมติจังหวะที่ ไคลเวิร์ต ซ้ำเข้าประตูไป สถานการณ์ตอนนั้นเป็น 1-1 เราจะได้เห็นลิเวอร์พูลเร่งเกมมากกว่าเดิมแน่ๆ (แต่ไม่ต้องเห็นก็ดีแล้ว!)
นี่คือความยืดหยุ่นของทีมของอาร์เน่อ ชล็อต ทีมที่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าแทบจะมีสถิติ วิ่งน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกเวลานี้ จากทีมที่วิ่งมากที่สุดในยุคของเจอร์เก้น คล็อปป์
ผมเปรียบเทียบกับมาธาดอร์อย่างที่กล่าวไว้ บอร์นมัธไล่ได้น่ากลัวมาก และนั่นไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเคอร์ติส โจนส์ ถึงเป็นตัวอันตรายเมื่อลงสนามสำหรับลิเวอร์พูล! เขาถึงไม่ได้เป็นตัวจริงในเกมแบบนี้ และตอบคำถามว่าทำไม โซโบถึงได้เล่นทั้งเกม
ความจริงแล้ว โซโบ มักจะเปลี่ยนกับโจนส์ แต่เกมนี้โซโบที่ล้มในหลายๆ จังหวะ กลิ้ง แข่งขาอ่อน แต่เราเห็นความเสี่ยงใบแดงของแม็คก้า ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงถูกเปลี่ยนออก
ลองคิดว่าถ้าเป็นโจนส์ลงเล่นตั้งแต่แรก และโดนไล่เพรสก็น่าหวาดเสียว เทียบกับการเอาตัวรอดของโซโบ
มันชัดเจนว่ากับไลน์อัพที่ออกมา 11 ตัวจริงที่ออกมาว่าทำไมเป็นอย่างนั้น เกี่ยวกับการตัดสิน ถ้าเบิ่งตาดูจริงๆ จะเห็นว่าทั้งจุดโทษ หรือแม้แต่จังหวะแม็คก้าที่คนคิดว่าควรเป็นใบเหลืองที่สอง แต่จริงๆ ย้อนไปดูมันเป็นจังหวะฟาวล์ธรรมดาเท่านั้น แต่แม็คก้าดูจะเดือดอยู่เอาออกมาก่อนก็ถูกแล้ว
รวมๆ จริงๆ เด็กหงส์ก็ไม่ได้พอใจการตัดสินของกรรมการในเกมนี้ ไม่ว่าจะการที่ซาลาห์โดนตอดนิดตอดหน่อยทั้งเกม แม็คก้าโดนกวน หรือการไปบี้ที่เทรนต์ ในรายละเอียดลิเวอร์พูลไม่ได้ได้เปรียบมากมาย แต่จังหวะที่ดูว่าใหญ่มันเข้าทางลิเวอร์พูลเท่านั้น
ลิเวอร์พูลไม่ได้เร่ง แต่เสียเทรนต์ไปจากการบาดเจ็บ ซึ่งกลายเป็นโชคดี เพราะเทรนต์คือบ่อในเกมนี้ชัดเจน ซึ่งไม่ได้ว่าเทรนต์ทั้งหมด แต่เป็นแท็กติกของบอร์นมัธที่โจมตีทางนี้ แต่หลายๆ จังหวะ ยกตัวอย่างเช่นการโหม่งสกัด
ลูกนั้นผมย้อนคิดว่าถ้าเป็นเจมี่ คาร์ราเกอร์เขาจะโหม่งออกหลังอย่างไม่ลังเลเลย แต่กับระบบฟุตบอลในตอนนี้ กับความพยายามเอาบอลคืน การตัดสินใจของนักเตะยุคนี้กับ 20 ปีที่แล้วอาจจะแตกต่างกันออกไป ถ้าเทรนต์โหม่งลูกนั้นดีกว่านั้นก็คงไม่โดนด่า
หวังว่าเทรนต์จะไม่เจ็บมาก แต่ชัดเจนว่าไม่พร้อมสำหรับคาราบาว คัพ แล้ว ตอนนี้หวังว่าจะไม่มีนักเตะบาดเจ็บหนักในช่วงที่เหลือของฤดูกาล ลิเวอร์พูลจะเดินหน้าต่อแบบสนุก
ภาพรวมนักเตะทุกคนก็ทำหน้าที่ได้ดีแล้ว คลีนชีตนัดนี้ก็มีโชค แต่ผล 2-0 กับความคาดหมายก่อนเกม หงส์แดงผ่านอีกเกมอย่างงดงาม ไม่ได้ออกแรงมากเกินไปด้วย
ลิเวอร์พูลอยู่ในจุดที่ดีมากหลังเกมวันเสาร์ นั่นเพิ่มความเดือดกับเกมวันอาทิตย์ แมนฯ ซิตี้ รู้ดีว่านี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว และอาร์เซนอลรู้ว่าพวกเขาต้องเก็บ 3 แต้มถ้าอยากมีความหวังต่อ
5-1 เป็นการกาชื่อซิตี้ออกจากการลุ้นแชมป์อย่างเป็นทางการ มันทำให้อาร์เซน่อลน่าจะเป็นผู้ท้าชิงกับลิเวอร์พูลทีมเดียว พวกเขาห่างแมนฯ ซิตี้ 9 แต้ม เข้าไปดูความสะใจ การล้อกัน หรือการขิง ผมก็แอบอมยิ้ม
หงส์ห่างอาร์เซนอล 6 แต้ม ถ้าชนะเกมตกค้างได้ก็ 9 แต้มนะครับ ถ้าปืนใหญ่คิดว่า 9 แต้มขาดจากซิตี้ พวกเขามองข้างบนขึ้นมาระยะห่างก็ไม่ได้ต่างจากลิเวอร์พูล
นอกจากนี้จากปืนที่ไม่ค่อยชนะ บิ๊ก 6 ในยุคก่อน ตอนนี้พวกเขาไม่แพ้มา 2-3 ฤดูกาล อันนี้เห็นพวกเขาขิงอยู่ แต่ผมก็อยากจะบอกกลับไปว่าต้องขอบคุณลิเวอร์พูลที่ชนะบอร์นมัธนะ ถ้าบอร์นมัธชนะพวกเขาจะอยู่ 6 อันดับแรก และบอร์นมัธก็ชนะอาร์เซนอลมาได้
ปลายเดือนอาร์เซนอลไปเยือนฟอเรสต์ วีกนั้นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน แม้ลิเวอร์พูลจะต้องไปเยือนแมนฯ ซิตี้ด้วยก็ตาม
แต่ก็ตราบที่ลิเวอร์พูลยังไม่ได้เก็บเกมตกค้างก็ยังนับระยะห่างได้แค่ 6 แต้มเท่านั้น แต่กลางสัปดาห์หน้าลิเวอร์พูลจะไปเยือนเอฟเวอร์ตันที่ชนะมา 3 เกมรวด ซึ่งอย่างที่เขียนไว้ตอนต้น ผมว่าเด็กหงส์อยากเจอเอฟเวอร์ตันช่วงแบบนี้มากกว่าช่วงที่ต้องการแต้มเพื่อหนีตาย
และการชนะซิตี้ขาด จากก่อนเกมอาร์เซนอลเป็นต่อซิตี้ไม่มากเท่าลิเวอร์พูลเป็นต่อบอร์นมัธ อันนี้สรุปแบบแฟร์ๆ ว่าปืนผ่านสัปดาห์ที่ยากกว่ามา แถมยิง 5-1 น่าจะได้โมเมนตัม และความมั่นใจ แต่ผมคิดว่ามันอันตรายสำหรับพวกเขาจุดหนึ่ง
มันส่งสัญญาณเตือนนิวคาสเซิลในลีก คัพ กลางสัปดาห์นี้มากไปนิด ผมคิดว่านิวคาสเซิลจะระวังมากขึ้นในการรักษาสกอร์นำ 2 ประตูตอนนี้ เอาจริงๆ ปืนชนะซิตี้ ลูกเดียว และค่อยมาชนะนิวคาสเซิลขาด อันนี้จะคุ้มกว่า
การที่ลิเวอร์พูลไม่ต้องเร่งอะไรมาก เกมกับสเปอร์สในลีก คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดที่สองที่แอนฟิลด์ เป็นจังหวะดีมากในแง่การพลิกสถานการณ์ แถมสุดสัปดาห์เป็นเกมเยือนพลีมัธในเอฟเอ คัพ ผมคิดว่าจังหวะของลิเวอร์พูลในการจัดตัวดีกว่า
ลิเวอร์พูลน่าจะเต็มที่ หรือปรับเพียงเล็กน้อยในลีก คัพ รอบรอง ซึ่งไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นยังไง ผมว่าเด็กหงส์ไม่ซีเรียสมากถ้าตกรอบ แต่ชนะได้ก็ดีกว่าแน่ๆ แถมจังหวะดีตรงสเปอร์สกลับมาชนะเป็นแล้ว อย่างที่บอกไว้ตอนต้น ถ้าเจอสเปอร์สแบบแพ้มารวดๆ เกมลีก คัพ นี้อาจจะเสียวกว่า
แล้วลิเวอร์พูลค่อยไปโรเตชั่นในเกมกับพลีมัธ แล้วค่อยจัดเต็มอีกครั้งในเกมกับเอฟเวอร์ตันกลางสัปดาห์หน้า ผมถือว่าโปรแกรมค่อนข้างดี
ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าไม่มีเกมกลางสัปดาห์นี้ แล้วต้องเล่นกับพลีมัธเลยก่อนดาร์บี แมตช์ การให้ตัวหลักๆ พักถึง 10 วัน ผมว่าไม่ดีเท่าไหร่ หลายครั้งที่พักนานเกินไปก็ทำให้เสียจังหวะได้ เราเห็นในยุคคล็อปป์ที่ไปมาร์เบย่า ในช่วงพัก 2 สัปดาห์
แต่โปรแกรมออกมาจังหวะนี้ ลิเวอร์พูลสามารถใช้ตัวหลัก และให้สำรองได้มีเกมเล่นสลับกันได้อย่างลงตัว เราจะได้เห็นเคียซ่า, เอ็นโดในเกมพวกนี้ หรือแม้แต่เยาวชน และกลุ่มที่เพิ่งกลับมาอย่างโจ โกเมซ, ซิมิกาส, นูนเญซ ดีกว่าให้พวกเขานั่งยาวๆ
อาร์เซนอลน่าจะจัดเต็มในเกมเยือนนิวคาสเซิลเช่นกัน ถ้าพวกเขาร้อนแรงต่ออาจจะพลิกสถานการณ์เข้าชิงได้เหมือนกัน แต่การยิง 5 แบบเกมมีช่วงที่เสมอ 1-1 พวกเขาออกแรงกับซิตี้ไปไม่น้อย และแน่นอนว่าจะเพิ่มความระมัดระวังให้กับนิวคาสเซิลแน่ๆ
อาร์เซนอลมีความได้เปรียบลิเวอร์พูลตรงบอลถ้วย เพราะพวกเขาตกรอบเอฟเอ คัพไปแล้ว! ดังนั้นเชื่อว่าวันพุธนี้พวกเขาใส่เต็มแน่ๆ และมีเวลา 10 วันในการเตรียมตัวไปเยือนเลสเตอร์ ที่จะเล่นคู่แรกด้วย มีโอกาสกดดันลิเวอร์พูล
และถ้าอาร์เซนอลคัมแบ็กไม่ได้ พวกเขาจะตัดเกมที่อาจจะเพิ่มขึ้น 1 เกมนัดชิง สถานการณ์นี้ก็เหมือนกับลิเวอร์พูลอย่างที่บอกว่าถ้าตกรอบด้วยมือสเปอร์สจริงๆ มันก็มีข้อดีตรงไม่ต้องออกแรงเพิ่ม(แต่เชื่อว่าทั้งสองทีมอยากชิงมากกว่า)
ไหนๆ ก็พูดถึงคาราบาว คัพ แล้ว ความเกี่ยวพันไม่ได้มีแค่นี้ ถ้า ย้ำว่าถ้าลิเวอร์พูลชิงคาราบาว คัพ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมขนานใหญ่ที่มีผลต่อความกดดัน และการแข่งขันในพรีเมียร์ลีกด้วย
TNT Sports มีกำหนดได้เกมถ่ายทอดสดของลิเวอร์พูล และมันจะเป็นเกมเยือนวิลลา พาร์ก แต่ถ้าลิเวอร์พูลเล่นคาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศ เกมดังกล่าวจะเลื่อนเข้าเป็นวันพุธที่ 19 ก.พ.(หรือหลังจากเกมกับเอฟเวอร์ตัน 1 สัปดาห์)
 
เกมนี้จะเลื่อนมาจากเกมที่มีกำหนดเป็นวันเสาร์ที่ 15 มีนาคม อย่างไรก็ตามกำหนดเกมนั้นจะอยู่กับกำหนดวิลล่าที่จะไปเยือนในแชมเปียนส์ลีกวันพุธหลังจากนั้นด้วย
คาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศจะเล่นที่เวมบลีย์ในวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม ดังนั้นถ้าลิเวอร์พูล หรืออาร์เซนอลเข้าชิงขึ้นมา จะกระทบโปรแกรมลีกในสัปดาห์นั้น (แต่ของปืนเลื่อนง่ายกว่า เพราะไม่ติดเอฟเอ คัพ)
เพื่อให้เข้าใจง่าย ถ้าลิเวอร์พูลเข้าชิงคาราบาว คัพ ได้ ปลายเดือนนี้สถานการณ์จะพลิกเป็นลิเวอร์พูลลงเล่นมากกว่าอาร์เซนอลแทน คือลิเวอร์พูลจะมีเกมพรีเมียร์ลีก 5 นัดติดต่อกันทุกๆ 2-3 วันก่อนเบรกทีมชาติ ในขณะที่ทีมอื่นๆ จะเล่นแค่ 3 นัด(ยกเว้น 2 ทีมที่เจอลิเวอร์พูลอย่างเอฟเวอร์ตัน และวิลล่าจะเล่น 4)
มันเป็นดาบสองคมได้เหมือนกัน แต่ถ้าใครใจร้อน มันก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน (ในกรณีที่ลิเวอร์พูลชนะ!) แต้มห่างอาจจะเป็น 12 แต้ม แต่ลิเวอร์พูลแข่งมากกว่า 1 นัด หรือ 6 แต้ม แต่ลิเวอร์พูลแข่งมากกว่า นี่คือกรณีที่แย่ที่สุด
อย่างไรก็ตามจากที่เห็นในเกมล่าสุด ผมว่าลิเวอร์พูลไม่ได้ร้อนรน หรือกดดันอะไร อย่างน้อยกับการที่อาร์เน่อ ชล็อต และลูกทีมแสดงออกมา ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องชนะมากมาย เร่งตลอดทั้งเกม มันแสดงให้เห็นมาทั้งฤดูกาล และไม่เห็นบ่อยๆ กับการเปลี่ยนซาลาห์ออก
ไม่กี่สัปดาห์ก่อนมีข่าวเกี่ยวกับชล็อตขอคำปรึกษาจากคล็อปป์ เกี่ยวกับคำถามว่าทำไมลิเวอร์พูลมีช่วงแผ่วในฤดูกาลที่แล้ว
“สัญญาณ และการอย่าละเลยสิ่งเล็กน้อย” ดูเหมือนเป็นหัวใจสำคัญในเรื่องนี้
การเปลี่ยนแม็คก้าออก พักซาลาห์ รีบเอาเทรนต์ออกเป็นตัวอย่างของสัญญาณแบบนี้ที่ชล็อตทำ แม้ถ้าพูดถึงโมเมนตัมเวลานี้ เอาแฟร์ๆ ผมว่าวันเสาร์อยู่ที่ลิเวอร์พูล จบวันอาทิตย์อยู่ที่อาร์เซนอลนิดหน่อย
เดือนมกราคมรวมๆ พวกเขาเหลื่อมกว่า และอาร์เตต้าก็มีลุ้นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนมกราคม วีกที่ผ่านมาพวกเขาลดผลต่างมาอีก +2 รวมๆ แล้วพวกเขาดูร้อนแรงกว่าในนาทีนี้ ทั้งผู้จัดการทีม, นักเตะ และแม้แต่แฟนบอลร้อนแรงกันจริงๆ
ส่วนเด็กหงส์ขอหนาวๆ ประมาณนี้ไปเรื่อยๆ ก่อนดีแล้วครับ...
จินตะปัญญา
#liverpool #Arneslot #luffy #arsenal
โฆษณา