4 ก.พ. เวลา 10:27 • การศึกษา

พูดจาภาษาดอกไม้

อาจจะเป็นเพราะเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้มั้ง เพราะรู้สึกว่า เมื่อก่อนตอนที่ผู้เขียนยังเป็นวัยรุ่น ยังไม่กล้าพูดคำหยาบเท่ากับเด็กสมัยนี้ เพราะสังคมเปลี่ยนไป รับวัฒนธรรมจากภายนอกมากขึ้น จนเดี๋ยวนี้เรามักจะเห็นผู้คนตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆจนไปถึงผู้ใหญ่ พูดคำหยาบกันจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้กระทั่งเหล่า youtuber นักสร้างคอนเทนต์ทั้งหลาย ก็ยังมีสายที่ชอบพูดคำหยาบเป็นเอกลักษณ์อย่างนี้โดยเฉพาะ
หากเพียงแค่พูดกับเพื่อนก็คงฟังไม่ระคายหูเท่าไหร่ และไม่ค่อยมีคนถือสาเพราะเห็นว่าอยู่ในวัยกำลังคึกคะนอง แต่ถ้าพูดในบริบทอื่นๆจะดูเหมือนไร้มารยาท ในทางโลกอาจจะเห็นโทษเพียงแค่นี้ ตัวอย่างบางคนเวลาพูดกับเพื่อนชอบพูดจาภาษาดอกไม้ คือ มี “ดอก” เป็นสร้อยประโยค แต่เป็นดอกอุตพิดนะ บางคนรักสัตว์ ชอบสัตว์เลื้อยคลานให้โชคให้ลาภ เน้นสีเงิน สีทองแสดงความมั่งคั่งร่ำรวยในแนวลงนรกลงเหว
บางคนชอบของทะเลสดๆ แบบเสิร์ฟบนฝา กินมากระวังท้องเสียแถมหัวร้างข้างแตก พูดผิดคนไม่เข้าหูระวังจะปากแดงแบบไม่มีแรงเดิน ขึ้นชื่อว่าคำหยาบแม้ต้นไม้ได้ยินมากๆยังเหี่ยวเฉา แล้วใจเราที่เคล้าเคลียกับคำหยาบคายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหน้าตาจะเป็นยังไง หากมองผลในทางธรรมแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่ากำลังทำผิดศีลข้อ 4 (ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดโกหก)
สั่งสมกรรมชั่วอยู่เป็นประจำ จิตก็เคล้าเคลียอยู่กับความชั่วหยาบเป็นนิตย์ เพราะทำเป็นอาจิณณกรรม ถ้าสิ่งนี้ดีจริงพระพุทธเจ้าคงไม่ห้ามไว้ ท่านบอกไว้ชัดเจนว่าเป็นหนึ่งในอกุศลกรรม 10 ถ้าจะเทียบกันก็คือศีลข้อ 4 เป็นอกุศลกรรมทางวาจา 4 อย่าง สั่งสมมากเข้ามีโอกาสตกนรก ลงอบายกันได้ง่ายๆเลย
พูดให้ดีถูกต้อง
นอกจากเรื่องคำหยาบแล้ว ยังมี “เครื่องขยายกรรม” เป็นตัวช่วยให้วิบากหนักขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ นั่นก็คือ social media ทั้งหลาย คุณรู้หรือไม่ว่ากรรมทางวาจานั้น ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การพูด แต่ขยายออกไปครอบคลุมไปถึงการพิมพ์, การให้สัญลักษณ์มือหรือท่าทาง, emoji, การเข้ารหัสต่างๆ ฯลฯ กล่าวได้ว่าครอบคลุมทุกรูปแบบของการสื่อสารเลยก็ว่าได้ ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมทางวาจา
และหากคุณแชร์สิ่งเหล่านั้น ก็เหมือนคุณทำกรรมร่วมกับเขาด้วย ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆก็ลองนึกถึงการที่คุณเอามือไปแตะข้อศอกคนเวลาที่เขากรวดน้ำ กรรมที่คุณแชร์ส่งต่อออกไป ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ หรือคลิปวีดีโอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุญหรือเรื่องบาป ล้วนกลับมาหาคุณ ตัดสินตามเจตนาในการแชร์ จำนวนคนที่ถูกส่งต่อทั้งจากตัวคุณเอง และจากลูกข่ายของคุณที่เขาส่งต่อไปเป็นทอดๆ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆก็คือ fake news เข้าข่ายพูดโกหก ถ้ากรรมที่พูดโกหกนั้นยุแยงให้คนแตกกัน ก็ผิดเรื่องการพูดส่อเสียดด้วย คุณจะต้องร่วมรับกรรมกับผู้ที่เป็นผู้เริ่มต้นสร้างโพสต์ของสิ่งนั้นๆ ต่างกันตรงที่ว่า หัวแถวหนักสุดเพราะเป็นสารตั้งต้น เป็นคนแรกที่เริ่มต้นสร้างข่าวนั้นๆจะรับกรรมหนักที่สุด
การกดไลค์ก็เช่นกัน เหมือนคุณไปร่วมสนับสนุนการทำบุญหรือการทำบาปของผู้คน ถ้าจะให้เทียบคงเหมือนการร่วมอนุโมทนาบุญหรืออนุโมทนาบาป ร่วมเห็นด้วยยินดีกับสิ่งที่พวกเขาทำ คุณก็จะได้ร่วมรับกรรมกันแบบไม่มีตกเทรนด์ กรรมยุค 5G แค่มีเน็ตก็ไปถึง ก็อย่าได้สงสัยเลยว่าทำไมกรรมสมัยนี้ติดจรวด
เพราะมองไปทางไหนก็หนีไม่พ้น “เครื่องขยายกรรม” แทนที่จะมีผลกระทบกับคนมากสุดเพียงแค่ไม่กี่ร้อย ตอนนี้เป็นกรรมในระดับ global ทั้งนั้น อย่าคิดว่าคุณพิมพ์หรือพูดเป็นภาษาไทยแล้วคนอื่น ชาติอื่นจะไม่รู้เรื่อง ผู้เขียนคิดว่าส่วนมากคงจะรู้จัก google translate กันอยู่แล้ว หรือไม่แย่ยิ่งกว่านั้นมีคนที่รู้ภาษาเราช่วยแปลให้ ที่ทะเลาะกันข้ามประเทศก็มีเป็นข่าวมาแล้วหลายครั้งหลายหน
เพราะฉะนั้นการจะโพสต์อะไรต้องใช้สติอย่างมาก โพสต์มากแบบไม่มีประโยชน์ก็เข้าข่ายพูดเพ้อเจ้อได้ โซเชียลฝึกเราให้เพ้อเจ้อ ด้วยเครื่องมือต่างๆที่ทำให้เราออนไลน์นานขึ้น การแอด story ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ไม่มีก็ต้องทำให้มีเพื่อจะได้แอด ขยายความเป็นตัวตนของตัวเอง สร้างอัตตาให้เหนียวแน่นหนาหนักขึ้น
และอีกกรณี ขออภัยนะคะที่ต้องพูด แม้แต่โพสต์ว่าสวัสดีวันจันทร์ สวัสดีทุกๆวัน ก็เป็นอะไรที่อาจจะผิดเข้าข่ายเพ้อเจ้อเหมือนกัน คุณเหงาเราเข้าใจแต่เป็นการแก้ทุกข์ผิดจุด ถ้าทักไปแล้วเขาไม่ตอบก็ทุกข์ ทักไปแล้วโดนเขาบล็อกก็ทุกข์อีก ไม่ใช่ว่ามีเพื่อนไม่ได้ หรือทักทายคนอื่นไม่ได้ แต่ต้องคำนึงด้วยว่าเราเพ้อเจ้อหรือเปล่า? รบกวนชาวบ้านเขามากเกินไปหรือเปล่า? การแก้ทุกข์แก้ความเหงาไม่ใช่การหาเพื่อน แต่ต้องฝึกอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุขให้เป็น นี่จึงจะแก้ที่ต้นเหตุ
แถมอีกนิดเมื่อโพสต์แล้วสิ่งที่โพสต์ไม่หายไปไหน เป็นสิบๆปีก็ยังอยู่ ใครมาอ่าน มาเห็นโพสต์ มาดูรูป ดูคลิปของคุณแล้ว เกิดกุศลหรืออกุศลก็ยังส่งผลกรรมให้ได้ตลอด ได้รับกรรมกันแบบ Passive income รัวๆไป การรับวิบากจึงสามารถเป็นอนันตกาลได้เลย
แม้บางเรื่องคุณจะลบสิ่งที่โพสต์ไปแล้ว แต่ก็อาจยังมีผู้ที่แคปเอาไว้ได้ และโพสต์แชร์ต่อได้อยู่ดี หรือแม้กระทั่งในกลุ่มลับ หรือการตั้งสถานะเป็น private ก็หนีไม่พ้น ภาพหลุด คลิปหลุด ข้อความหลุดก็มีมาให้เห็นแล้ว กรรมมันจึงหนักหน่วงไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเฉพาะทำกรรมผ่านสื่อโซเชียล
พูดคุยเป็นกลุ่ม
ผู้ที่มีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็นนักร้อง ดารา ดาวตลก หรือ YouTuber influencer ฯลฯ ผู้มีชื่อเสียงทั้งหลาย ควรสังวรอย่างยิ่งในการใช้สื่อ เพราะการเป็นผู้มีชื่อเสียงทำให้คุณมีเครดิตที่จะทำให้คนเชื่อได้มาก หากเป็นเรื่องที่ไม่ดีแล้วมีผู้เชื่อ ทำตาม กรรมจะหนักมาก พึงระลึกไว้ว่าการได้ยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดวิวในจำนวนที่สูงมากไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป
ดังนั้นควรตั้งใจให้ไปในทางที่ดีงาม ความน่ากลัวของการสั่งสมกรรมชั่วอีกอย่างที่ควรตระหนัก คือถ้ามีมากสามารถตัดรอนให้อายุสั้นได้ ในกรณีที่คุณทำบาปมากและบุญเก่าน้อย บุญใหม่ก็ไม่ค่อยทำ เพราะในสมัยพุทธกาลก็มีตัวอย่างให้ดูมาแล้ว ไม่ว่าจะกรรมมีดีมาก หรือกรรมชั่วมาก ก็สามารถตัดรอนชีวิตในภพภูมินี้ให้สั้นลงได้ ส่งไปเสวยกรรมในภพภูมิใหม่ทันทีทันใด
อีกประเด็นที่ควรตระหนัก เพราะหากสั่งสมกรรมชั่วมากๆส่งผลแม้กระทั่งอยู่ในภพภูมินี้ คือ ความสามารถตัดรอนกรรมดีของคุณ พอจะได้อะไรดีๆใหญ่ๆ ถ้ากรรมชั่วมากก็ตัดรอนให้ได้น้อยลง และถ้ากรรมดีที่จะให้ผลมีจำนวนเล็กน้อย ก็จะถูกตัดรอนให้ไม่ได้เลย คนส่วนใหญ่อาจจะเคยได้ยินว่าการทำกรรมดีมากช่วยตัดรอนกรรมชั่ว เหมือนการเติมน้ำจืดไปละลายความเค็มของเกลือ
เป็นการพูดถึงกรรมดีที่มีมาก และตัดรอนกรรมชั่วในลักษณะเดียวกัน นี่เป็นการแสดงตัวอย่างของกรรมว่ามี 2 ด้านเท่าเทียมยุติธรรมเสมอ ไม่มีสิ่งใดมีอิทธิพลมากอยู่เหนือแรงของกรรมไปได้เลย ถึงตรงนี้คุณได้ฟังแล้วอาจมีบางคน นึกอยากเลิกพูดคำหยาบกันขึ้นมาบ้าง
sware jar & ดีดหนังยาง
ผู้เขียนอยากจะเสนอวิธีแก้ที่เห็นมาจากในหนังฝรั่งอีกที ซึ่งเป็นวิธีที่ทำตามได้ง่าย แต่จะได้ผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ที่ความตั้งใจของคุณเป็นหลัก วิธีการเป็นแค่เครื่องมือช่วย เริ่มด้วยการหากระปุกออมสินมา 1 ใบ อาจจะทำเองง่ายๆก็ได้ แต่แนะนำว่าถ้าสามารถเอาติดตัวไปได้ด้วยยิ่งดี เพราะคุณจะต้องใช้มันบ่อยๆแน่ หรือจะมีแบบพกติดตัว 1 อันเอาไว้ที่บ้านอีก 1 อันก็ได้ สิ่งนี้เรียกว่า sware jar
แนวคิดคือ ให้หยอดเงิน 1 เหรียญ คุณอาจจะกำหนดเอาเองว่าเป็นเหรียญราคาเท่าไหร่ก็ได้ ทุกครั้งที่พูดคำหยาบ แล้วกำหนดเวลาอาจจะ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือนหรือจนกว่าคุณจะเลิกพูดคำหยาบได้ ในทางจิตวิทยาวิธีนี้เป็นการมอนิเตอร์ที่ดีที่จะสังเกตพฤติกรรมของตัวเองและแก้ไข เพราะทำให้ระมัดระวังในการพูดมากขึ้น ถ้าคุณตั้งใจจริงอาจจะเลิกได้ แต่ถ้าเลิกไม่ได้ก็อาจจะมีตังค์ไปใช้ซื้อของที่อยากจะได้หรือทำบุญ ฯลฯ
ขอเสริมว่าถ้าอยากให้มีกำลังใจเพิ่มความสำเร็จในการเลิก ควรทำบุญเกี่ยวกับการส่งเสริมให้คนหรือเด็กๆมีมารยาทที่ดี อาจจะเป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัลสำหรับนักเรียนที่มีมารยาทดี พูดจาไพเราะ ประพฤติตัวเรียบร้อย หรือส่งเสริมให้คนมีระเบียบวินัยกับข้าวของสาธารณะ บางสิ่งบางอย่างที่คุณเห็นว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับอะไรทำนองนี้ และหากทำกับคนหมู่มากได้ยิ่งดี บุญกุศลอาจจะทำให้คุณเลิกได้เร็วขึ้น ให้ทำควบคู่ไปกับการใช้ sware jar
อ้อ! มีอีกวิธีหนึ่งที่เรานึกได้มาแนะนำ คือการประยุกต์ใช้หนังยาง คุณอาจจะเคยได้ยินวิธีการนี้มาก่อน เพราะเคยมีคนเขียนหนังสือออกมา แต่ตอนนั้นเขาใช้ monitor ความคิดลบ ในที่นี้น่าจะนำมาประยุกต์ใช้กับการพูดคำหยาบได้ ไม่ต้องพกอะไรให้ยุ่งยากด้วย วิธีการก็คือ สวมหนังยางที่มีขนาดพอดีกับข้อมือของคุณ จากนั้นทุกครั้งที่คุณพูดคำหยาบให้ดีดหนังยางใส่ข้อมือตัวเอง ให้พอรู้สึกเจ็บจะได้รู้สึกตัวว่าพูดคำหยาบ
เป็นการบอกจิตใต้สำนึกให้ระวังคำพูด 2วิธีนี้มีข้อดีคนละอย่าง การใช้ sware jar ทำให้คุณเห็นผลลัพธ์ในแบบที่จับต้องได้ บางทีสมองก็ต้องการสิ่งนี้ เพื่อให้รู้สึกว่า โอ้โฮ!ฉันทำชั่วมากขนาดนี้เลยเหรอ ดูได้จากจำนวนเหรียญที่อยู่ในกระปุก มันช่วยให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น ส่วนการใช้หนังยางก็เป็นเรื่องของความสะดวก ทำได้ทุกที่ไม่ต้องควักเงินมาหยอดให้ยุ่งยาก
แต่เราอยากให้คุณลองใช้ทั้ง 2 อย่าง โดยที่ใช้ทีละอย่างภายในเวลาจำกัด แล้วเปรียบเทียบดูข้อดีข้อเสียว่าอันไหนเหมาะกับคุณมากกว่า เพราะแต่ละคนจริตไม่เหมือนกัน ทำให้ทั้ง 2 วิธีอาจจะได้ผลมากน้อยต่างกันในแต่ละบุคคล ที่สำคัญไม่ว่าจะใช้วิธีไหน คุณควรจะซื่อสัตย์กับตัวเอง เพราะยิ่งคุณซื่อสัตย์เท่าไหร่ก็จะทำให้มันได้ผลมากขึ้น
ผู้ที่ตั้งใจจริงที่จะเลิกพูดคำหยาบ เราก็ขอให้กำลังใจและขอให้คุณทำสำเร็จ เพราะเป็นสิ่งที่ดีที่คุณจะเลิกสั่งสมกรรมชั่ว รวมทั้งเป็นสร้างบุญกุศลในด้านลดการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยวาจา ซึ่งมีอานิสงส์มาก คือได้ 2 เด้งทั้งละชั่วแล้วได้บุญด้วย
สื่อสารระดับโลก
แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็รู้สึกว่าศีลข้อ 4 เป็นศีลที่รักษาได้ยากที่สุด ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน เราต้องใช้ social media กันทั้งนั้น เพราะใช้ทั้งการทำงาน ใช้เพื่อบันเทิง เชื่อมความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ฯลฯ นี่ทำให้ตระหนักว่า social media มีคุณอนันต์แต่ก็โทษมหันต์เหมือนกัน
กรรมทางวาจาที่เราๆท่านๆเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อสั่งสมกันมากเข้า ก็มีพลังมากมายสามารถเปลี่ยนชีวิตคนชั่วข้ามคืนได้เลยทีเดียว ในปัจจุบันนี้เป็นยุคที่ใครๆก็มีสื่ออยู่ในมือ เพราะฉะนั้นไม่ใช่แต่ผู้มีอิทธิพล มีชื่อเสียงเท่านั้นที่ต้องระวังกรรมทางวาจา แม้แต่คนธรรมดาก็ต้องระวังให้มากด้วย ใครจะคิดว่าคนธรรมดาๆคนหนึ่ง ในวันหนึ่งจะมีคลิปที่ถ่ายโดยไม่คิดอะไรแล้วกลายเป็น viral มีชื่อมีเสียง(หรือชื่อเสีย) กันข้ามคืนได้
ผู้มีชื่อเสียง influencer ผู้ประกาศข่าว ฯลฯ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อทั้งสื่อออนไลน์ ออฟไลน์ทั้งหลายก็ต้องระวังคำพูด ความคิดเห็นของตัวเองที่ทำผ่านสื่อให้มากด้วย ว่าเป็นการชี้นำผู้อื่นในทางที่ดีหรือไม่ คำพูดเป็นของมีคมสามารถประหัตประหารกันข้ามโลกข้ามประเทศได้ เพราะเทคโนโลยีทำให้เราสามารถทำร้ายกันได้มาก และขยายวงกว้างขึ้น เพียงแค่กดปุ่มเพียงปุ่มเดียว
ถ้าจะเปรียบก็คงเหมือนการที่สมัยก่อน เราอยากจะใช้คำพูดเพื่อทำร้ายเชือดเฉือนใครต่อใคร อย่างมากก็ทำได้แค่เข้าหูคนฟังไม่กี่คน แล้วก็หายไปตามลมไม่ได้ยั่งยืนอะไรมาก เหมือนต้องถือดาบไปฟันทีละคน แต่การใช้คำพูดผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย หากใช้เป็นไปเพื่อเชือดเฉือนทำลายผู้อื่น ก็เหมือนคุณกดปุ่มเพียงครั้งเดียว แต่ผลเหมือนโดนระเบิดนิวเคลียร์ลง ทำลายเมืองทั้งเมืองให้ราบพณาสูรในพริบตาจากระยะไกล แถมทิ้งสารพิษกัมมันตรังสีตกค้าง
เพราะเมื่อใครได้อ่านหรือดูโพสต์ที่คุณปล่อยไป ไม่ว่านานแค่ไหนก็ยังสามารถทำร้ายพวกเขาได้ ไม่ได้หายไปกับสายลมเหมือนเสียงพูด โดยตัว social media เองนั้นเป็นของกลางๆ ไม่ได้เลวร้ายไปหมด ขึ้นอยู่กับว่าคนที่อยู่หลังแป้นจะมีปัญญาในการใช้มันให้เกิดประโยชน์หรือโทษ ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น ถ้าคิดว่า social media น่ากลัวนั่นก็ยังไม่เท่าคำพูดและการกระทำของตัวเราเอง
หากเรารู้จักระมัดระวังในการใช้ก็จะมีประโยชน์มากกว่าโทษ การมีศีลข้อ 4 เป็นตัวช่วยที่ดีในการใช้ชีวิต ในยุคที่มีเครื่องขยายกรรมอย่างโซเชียลมีเดีย ให้เน้นหนักไปในการสร้างกรรมทางวาจาที่ดี แล้วคุณจะได้ชื่อว่า พูดจาภาษาดอกไม้ได้หอมหวนชวนดมจริงๆ
วัฒนธรรมเพลงแรป
รู้เท่าทันวัฒนธรรมเพลงแรป
คำหยาบที่วัฒนธรรมเพลงแรปเห็นเป็นของโก๋เก๋นิยมใช้กัน ไหนจะพูดในทำนองลามก ส่อเสียด บูลลี่คนอื่นอีก ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างวิบากกรรมในทางลบกับตัวเองทั้งนั้น วัยรุ่นที่ชื่นชอบกับวัฒนธรรมเพลงแร็ปก็รับมาทุกอย่าง พูดคำหยาบกันเป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา ไม่เห็นว่ามันจะผิดบาปอะไรตรงไหน
หารู้ไม่ว่าตัวเองได้สั่งสมกรรมชั่วในทุกๆวันเป็นจำนวนมาก อาชีพแรปเปอร์ต้องระวังให้มาก เพราะมีภัยจากคำพูดหยาบและความคิดลบอยู่ตลอดเวลา นี่ยังไม่ได้พูดถึงการที่คุณส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมาก โดยเฉพาะแฟนเพลงของคุณ เพราะสามารถไปมีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกของเขาได้โดยตรง เกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ง่าย
แถมถ้าเพลงของคุณดัง ผลกระทบนั้นอาจจะอยู่นานหลายปีทีเดียว วิบากหนักมาก จุดเริ่มต้นของเพลงแรปเกิดมาจากการบ่น เนื่องมาจากความคับแค้นใจของคนผิวสีในอเมริกา ที่ต้องทนกับสภาพการถูกเหยียดสีผิว และความไม่เท่าเทียมต่างๆในสังคม จึงได้ใช้การบ่นนั้นมาทำเป็นเพลงเพื่อระบายความทุกข์
แต่ไลฟ์โค้ชทุกคนตั้งแต่ในระดับประเทศจนถึงระดับโลกล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การบ่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้าหาตัว ทำให้มีเรื่องให้บ่นมากกว่าเดิม ยิ่งทำด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดและความรู้สึกลบ ยิ่งมีพลังในเชิงลบกลับมามาก นอกจากนี้การที่คุณต้องหาเรื่องมาเขียนเพลง ทำให้คุณมองหาแต่สิ่งที่มันทำให้คุณรู้สึกอยากบ่น เพื่อที่จะมาเป็น material ในการแต่งเพลง
อันเป็นเหตุให้จิตใต้สำนึกของคุณถูกฝึกให้คิดลบ มองโลกอย่างคอยจับผิดในทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่ขัดหู ขัดตา ขัดใจ ล้วนแล้วแต่เป็น material อันดีในการแต่งเพลงได้ทั้งนั้น จนติดนิสัยคิดลบมองโลกในแง่ร้ายไปโดยปริยาย เราไม่ได้ให้คุณเลิกร้องเพลงแรป
แต่จะเป็นไปได้ไหมที่จะร้องโดยไม่ใช้คำหยาบ ส่อเสียด พูดลามกหรือบูลลี่คนอื่น ร้องในทางสร้างสรรค์ บ่นได้แต่ขอให้เสนอทางออก ไม่ใช่เพียงแต่บ่นๆๆ วนอยู่ในอ่าง ไม่มีทางแก้ไขอะไรมานำเสนอ แค่พ่นระบายความสะใจที่ได้บ่นได้ด่า ลองเพิ่มการแสดงความเห็นในแง่บวกแบบ silver lining ในตอนท้าย แทนที่จะมีแต่คำบ่นด่าอย่างเดียวน่าจะดีกว่า
เป็นการฝึกจิตใต้สำนึกของคุณให้รู้จักพลิกใจมามองในแง่บวก ซึ่งจะส่งผลดีกับตัวคุณเองในระยะยาวด้วย เราเห็นแรปดีๆในทางสร้างสรรค์ก็มีมาก คิดว่าถ้าคุณเป็นศิลปินจริงๆคงสามารถทำได้เช่นกัน เราเตือนด้วยความหวังดีจริงๆ คุณต้องรู้นะว่าคุณอยู่ในวิถีทางที่เป็นลบมาก และสร้างวิบากกรรมที่เป็นกรรมชั่ว มีผลกระทบกับคนหมู่มาก วิบากหนัก และนั่นนำมาซึ่งความทุกข์
ครูบาอาจารย์บอกว่าการทำชั่ว นำมาซึ่งความทุกข์ ตรงข้ามกับการทำบุญ นำมาซึ่งความสุขและบุญเป็นอาหารของใจ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตให้มีกำลังใจ ฉะนั้นชีวิตคุณอาจจะประสบความสำเร็จร่ำรวยมาก แต่ก็ทุกข์ได้มากพอๆกัน หรืออาจจะยิ่งกว่า เพราะสร้างวิบากกรรมในทางลบมากกว่า ยิ่งทำเป็นอาชีพด้วยแล้วยากที่จะหลีกเลี่ยง
ผลของกรรมนี้สั่งสมข้ามภพชาติ ยิ่งทำมานานยิ่งเลิกยาก อาจทำให้ชีวิตของคุณจมดิ่งอยู่ในความทุกข์ เป็นโรคซึมเศร้า หรือโรคทางจิตอีกหลายๆอย่าง และอาจนำไปสู่การใช้สิ่งเสพติด ก่อความรุนแรงในครอบครัว หรือกับคนรอบข้างได้ รวมไปจนถึงการเกิดโรคทางกายอื่นๆตามมา
ลองมองตัวอย่างจากพวกแรปเปอร์ในต่างประเทศก็ได้ มักจะยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและแก๊งอันธพาล ยังผลให้ตายไม่ดีกันมากมาย ถ้าคุณอยู่ในวงการน่าจะเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับการที่แรปเปอร์ชื่อดังโดนแก๊งยิงตายบ่อยๆ หรือแม้กระทั่งเสพยาเกินขนาดตาย การมีบอดี้การ์ดไม่ได้มีเพื่อโก้เก๋ดูเป็น VIP เพียงอย่างเดียว แต่มีไว้เพื่อป้องกันรักษาชีวิตจริงๆด้วย แต่ก็เอาเถอะเส้นทางชีวิตของคุณก็ต้องเลือกเอาเองและรับผลแห่งกรรมนั้นเอง เราช่วยได้ก็เพียงแค่บอกเตือน แต่จะทำหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว
#พูดคำหยาบ # พูดส่อเสียด # พูดเพ้อเจ้อ #พูดโกหก #อกุศลกรรมบท 10 #ศีลข้อ4 #social media #sware jar #ดีดหนังยาง #กรรมระดับโลก #กรรมยุค 5G #เครื่องขยายกรรม #วัฒนธรรมเพลงแรป
เรื่อง ภาพปกและภาพทั้งหมดโดย
พูดจาภาษาดอกไม้1
โฆษณา