เมื่อวาน เวลา 13:01 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🎯 สรุป The Art of the Deal กลยุทธ์การเจรจาของทรัมป์ ย้อนรอย Trade War 1 อ่านใจทรัมป์ใน Trade War 2

📕 ปรัชญาการเจรจาต่อรองของทรัมป์ใน The Art of the Deal
หนังสือ "The Art of the Deal" ที่โดนัลด์ ทรัมป์เขียนขึ้นในปี 1987 อธิบายถึงแนวทางของเขาในการทำธุรกิจและการเจรจาต่อรอง โดยหนังสือเล่มนี้เป็นทั้งอัตชีวประวัติและคู่มือการทำข้อตกลง ซึ่งแบ่งออกเป็นทั้งหมด 11 หลักการที่เป็นแนวทางของทรัมป์ในการทำธุรกิจ
โดยหลักการสำคัญ ได้แก่ การใช้ประโยชน์จากจุดแข็ง การสร้างอำนาจต่อรอง การรับความเสี่ยงอย่างมีกลยุทธ์ และการใช้จิตวิทยาในการเจรจา ซึ่งทรัมป์อธิบายว่าการทำข้อตกลงเป็นเหมือนเกมที่เขาต้องการเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งเขาจะใช้ทั้งการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญและสัญชาตญาณในการอ่านคู่แข่งค่ะ
1
หลักการสำคัญมีดังนี้
1️⃣ คิดใหญ่และตั้งเป้าสูง
ทรัมป์เชื่อว่าการตั้งเป้าหมายที่สูงจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ เขากล่าวว่า "ผมตั้งเป้าหมายให้สูงมาก และจากนั้นก็แค่ผลักดันและผลักดันต่อไป" เขามองว่าการไล่ตามข้อตกลงขนาดใหญ่ใช้ความพยายามไม่ต่างจากข้อตกลงขนาดเล็ก ดังนั้นจึงควร "คิดใหญ่"
การมีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และใช้จุดแข็งของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน แบรนด์ หรือชื่อเสียง สามารถช่วยให้เขาได้เปรียบในการเจรจา
2️⃣ ใช้ประโยชน์จากอำนาจต่อรองของตนเอง
หนึ่งในหลักการหลักของทรัมป์คือ การสร้างและใช้ประโยชน์จากอำนาจในการต่อรอง ในการเจรจา เขาเขียนว่า "ทางเดียวที่จะทำให้คุณได้ข้อตกลงที่คุณต้องการ คือคุณต้องมีจุดแข็งและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่าคุณมีบางสิ่งที่พวกเขาต้องการ"
ทรัมป์มักจะทำให้ข้อเสนอของเขาดูน่าสนใจเกินกว่าความเป็นจริง เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง ตัวอย่างเช่น ในการเจรจาโครงการคาสิโน เขาทำให้โครงการของเขาดูเหมือนว่ากำลังก้าวหน้าไปไกลกว่าความเป็นจริง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรทางธุรกิจ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเน้นว่า "ห้ามแสดงความต้องการข้อตกลงมากเกินไป" เพราะอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอและใช้เป็นข้อได้เปรียบ
1
3️⃣ รับความเสี่ยงอย่างมีกลยุทธ์ (ป้องกันความเสี่ยงขาลง)
แม้ว่าเขาจะเป็นนักเจรจาที่ดุดัน แต่ทรัมป์ก็เป็นนักวางแผนที่ระมัดระวังเช่นกัน เขาเชื่อในการ "คาดการณ์สถานการณ์ที่แย่ที่สุด" และเตรียมพร้อมรับมือกับมัน
1
เขากล่าวว่า "ผมจะเข้าสู่ข้อตกลงโดยคิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น ถ้าคุณสามารถรับมือกับสิ่งที่แย่ที่สุดได้ ส่วนที่ดีจะดูแลตัวเองได้เอง" โดยหลักการนี้หมายความว่าเขาจะทำให้แน่ใจว่าแม้ว่าข้อตกลงจะล้มเหลว มันก็จะไม่ทำให้เขาล้มละลาย ตัวอย่างเช่น เขาเลี่ยงการกู้เงินมากเกินไปและมีแผนสำรองเสมอ
2
4️⃣ จิตวิทยาและกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์
ทรัมป์ให้ความสำคัญกับพลังของจิตวิทยาในการเจรจา กลยุทธ์ที่เขาใช้บ่อยคือการสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นประโยชน์ต่อเขา เช่นเดียวกับที่เขากล่าวว่า "ผมเล่นกับจินตนาการของผู้คน... การพูดเกินจริงเล็กน้อยไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน" เพราะ "ผู้คนต้องการเชื่อว่าสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นที่สุด"
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังใช้สื่อและการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างแรงกดดันและผลักดันให้เกิดข้อตกลง
5️⃣ ทำตามสัญญาและรักษาความน่าเชื่อถือ
แม้ว่าทรัมป์จะใช้กลยุทธ์จิตวิทยาและการประชาสัมพันธ์ในการสร้างข้อตกลง แต่เขาก็เน้นว่าการรักษาความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ เขาเขียนว่า "คุณไม่สามารถหลอกผู้คนได้ตลอดไป... หากคุณไม่สามารถทำตามที่สัญญาไว้ได้ สุดท้ายแล้วผู้คนจะรู้ตัว"
นั่นหมายความว่าการใช้กลยุทธ์ในการเจรจาเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ในระยะยาว ผู้ที่สามารถ ทำตามข้อตกลงและรักษาคุณภาพ จะได้รับความไว้วางใจ
👉🏻 โดยสรุป The Art of the Deal นำเสนอแนวคิดของทรัมป์เกี่ยวกับการเจรจาที่ผสมผสานวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ อำนาจต่อรองที่แข็งแกร่ง การบริหารความเสี่ยง และจิตวิทยาในการเจรจา ซึ่งแนวทางเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ที่เขาใช้ในช่วงที่เป็นประธานาธิบดี โดยเฉพาะในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
1
🇺🇸 กลยุทธ์ของทรัมป์ในสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ปี 2018–2019 🇨🇳
เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาทางการค้ากับจีน ทรัมป์นำกลยุทธ์จาก The Art of the Deal มาใช้ในการเจรจาทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่
📌 ใช้ภาษีศุลกากรเป็นอำนาจต่อรอง
ทรัมป์ใช้อำนาจของตลาดนำเข้าขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือต่อรองกับจีน โดยในปี 2018 เขาเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมหาศาลเพื่อกดดันจีนให้ยอมอ่อนข้อ
📌 กลยุทธ์เพิ่มแรงกดดันและพร้อมเดินจากไป
ทรัมป์มักจะเพิ่มภาษีเมื่อการเจรจาติดขัด และเขาพร้อมจะ “เดินออกจากโต๊ะเจรจา” เพื่อไม่ให้ดูอ่อนแอ ตัวอย่างเช่น ในปี 2019 เมื่อข้อตกลงล้มเหลว ทรัมป์เลือกที่จะขึ้นภาษีแทนที่จะยอมรับข้อตกลงที่เขามองว่าไม่ดีพอ
📌 การใช้สื่อและการโพสต์ทวิตเตอร์เพื่อสร้างแรงกดดัน
ทรัมป์ใช้ทวิตเตอร์และสื่อเป็นเครื่องมือสร้างกระแส โดยมักจะโพสต์ข้อความที่สร้างความไม่แน่นอน เช่น การเรียกตัวเองว่า “Tariff Man” เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกกดดัน
ขณะที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจของสงครามการค้าที่เห็นได้ชัดเจนมีตั้งแต่ ผู้บริโภคสหรัฐฯ ต้องจ่ายราคาสินค้าสูงขึ้น เกษตรกรสหรัฐฯได้รับผลกระทบอย่างหนักจนรัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชยให้มากกว่า $28 พันล้านดอลลาร์ และการค้าโลกได้รับผลกระทบและเกิดความไม่แน่นอนไปทั่วโลก
🤔 ถ้าสงครามการค้ารอบที่สองเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร หากทรัมป์ใช้กลยุทธ์เดิม?
หากโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีและเริ่มสงครามการค้าอีกครั้ง เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าเขาจะใช้แนวทางที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม โดยอาศัยกลยุทธ์ที่เขาใช้ในอดีต แต่สถานการณ์ในปี 2025–2029 จะมีความแตกต่างจากปี 2018-2019 ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์อาจไม่เหมือนเดิม
1
1️⃣ ทรัมป์อาจใช้ภาษีศุลกากรอย่างก้าวร้าวมากขึ้น
ทรัมป์ได้กล่าวไว้ว่าเขาอาจใช้ภาษีศุลกากร 10% หรือสูงกว่ากับสินค้าทุกประเภทที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่สินค้าจากจีนเท่านั้น แต่จะรวมถึงประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น เม็กซิโก ยุโรป และญี่ปุ่น
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าเขาอาจใช้ภาษีเป็นเครื่องมือต่อรองกับประเทศต่างๆ ในด้านที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้าโดยตรง เช่น บีบให้เม็กซิโกควบคุมผู้อพยพ หรือกดดันยุโรปในเรื่องงบประมาณทางการทหารของ NATO
อัตราภาษีที่รุนแรงขึ้นอาจสร้างผลกระทบที่ใหญ่กว่าครั้งแรก เช่น การปรับตัวขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว (เนื่องจากเงินเฟ้อ) และการตอบโต้ที่หนักหน่วงจากประเทศคู่ค้า
2️⃣ จีนอาจจะตอบโต้หนักขึ้น
ในปี 2018-2019 จีนมีแนวโน้มที่จะยอมตามข้อเรียกร้องบางส่วนของสหรัฐฯ แต่ในปี 2025 เศรษฐกิจจีนแม้จะเติบโตในอัตราที่น้อยลง แต่ก็ยังมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้นและปรับตัวได้ดีขึ้นจากบทเรียนในสงครามการค้ารอบแรก
โดยจีนอาจใช้มาตรการตอบโต้ที่เจ็บปวดมากขึ้น เช่น จำกัดการส่งออกแร่ Rare Earth ที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ รวมถึงอาจบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทอเมริกันที่ทำธุรกิจในจีน เช่น Apple, Tesla และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีโอกาสใช้กลยุทธ์ Trade Diversion หรือการกระจายการค้าไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ อีกเช่นกัน
3️⃣ สหรัฐฯ อาจโดดเดี่ยวมากขึ้น
สงครามการค้ารอบแรกมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ต้องรับแรงกดดันไปด้วย แต่ครั้งนี้ สหภาพยุโรป แคนาดา และประเทศพันธมิตรอื่นๆ อาจไม่สนับสนุนแนวทางของทรัมป์มากเท่าครั้งก่อน
โดยประเทศเหล่านี้อาจเลือกทำข้อตกลงการค้ากับจีนมากขึ้น เพื่อลดความเสียหายจากมาตรการของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้จีนมีอำนาจต่อรองมากขึ้นกว่าครั้งแรก
4️⃣ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ในสงครามการค้ารอบแรก สหรัฐฯ สามารถแบกรับผลกระทบได้ดี เพราะอัตราเงินเฟ้อต่ำ แต่ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้นหากมีการใช้ภาษีศุลกากร ราคาสินค้าภายในประเทศจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจทางการเมืองซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของทรัมป์เอง
นอกจากนี้การเก็บภาษีศุลกากรในวงกว้างอาจกระทบต่อตลาดหุ้น และอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวเร็วกว่าที่คาด
🎯 สงครามการค้ารอบที่สองอาจใหญ่กว่าและซับซ้อนกว่าเดิม
หากทรัมป์กลับมาและใช้กลยุทธ์เดิม สงครามการค้าครั้งใหม่น่าจะมีขอบเขตกว้างขึ้น รุนแรงขึ้น และอาจสร้างผลกระทบที่ใหญ่กว่าครั้งแรกเนื่องจาก
- จีนมีประสบการณ์มากขึ้นและอาจตอบโต้รุนแรงขึ้น
- เศรษฐกิจโลกเปราะบางมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงทำให้สงครามภาษีมีผลกระทบต่อผู้บริโภคเร็วกว่าเดิม
- ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ อาจไม่สนับสนุนทรัมป์เหมือนครั้งแรก และอาจหันไปหาจีนแทน
- การใช้ภาษีศุลกากรในระดับที่กว้างขึ้นอาจกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองอย่างรุนแรง
แม้ว่าทรัมป์จะเชื่อมั่นในแนวทางการเจรจาที่ดุดันของเขา แต่ผลลัพธ์สุดท้ายอาจไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคาดหวังเอาไว้ นอกจากนี้เอง สงครามการค้ารอบแรกแสดงให้เห็นว่า การใช้ภาษีเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจอาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี และหากทรัมป์เดินหน้าในแนวทางเดิม สงครามการค้ารอบที่สองอาจสร้างความปั่นป่วนในระดับโลกมากกว่าครั้งแรก
สุดท้ายแล้ว กลยุทธ์ของทรัมป์จาก The Art of the Deal สามารถกดดันคู่แข่งได้จริง แต่ไม่ได้รับประกันว่าเขาจะ "ชนะ" ได้เสมอไป ดังนั้นหากเขาเดินหน้าสู่สงครามการค้ารอบใหม่ โลกจะจับตาดูว่าแนวทางนี้จะสร้างผลลัพธ์ที่ต่างจากเดิมหรือไม่ หรือจะเป็นเพียง "ภาคต่อ" ของสงครามการค้าที่ยืดเยื้อและไร้ข้อสรุปที่แท้จริง
1
โฆษณา