Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ติดอดีต: เรื่องเล่าและไลฟ์สไตล์
•
ติดตาม
6 ก.พ. เวลา 04:11 • ประวัติศาสตร์
EP 42 Crown of Blood: ยุคมหากาฬแห่งอโยธยา ภาคการปฏิวัติเงียบ
ในยุคมหากาฬแห่งอโยธยา การเปลี่ยนขั้วอำนาจระหว่างสมเด็จพระรัษฎาธิราช (King 12) และสมเด็จพระไชยราชาธิราช (King 13) สะท้อนถึงการต่อสู้เพื่ออำนาจที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและโศกนาฏกรรมทางการเมือง สมเด็จพระรัษฎาธิราช ซึ่งมีพระราชมารดาคอยสนับสนุน ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสมเด็จพระไชยราชาธิราช ผู้มีฐานอำนาจที่แข็งแกร่งและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มต่างๆ
การแย่งชิงนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโครงสร้างอำนาจของอโยธยา โดยมีผลกระทบต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของรัฐในช่วงเวลานั้น การต่อสู้เพื่อครองบัลลังก์ไม่เพียงแต่เป็นการแย่งชิงตำแหน่ง แต่ยังเป็นการต่อสู้เพื่ออนาคตของอยุธยา
การปฏิวัติเงียบแห่งอยุธยา
การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระรัษฎาธิราช (King 12) ขณะมีพระชนมายุเพียง 5 ปี เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของการเมืองในสมัยอยุธยา หลังจากที่สมเด็จพระบรมราชาธิบดีที่ 4 (King 11) เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2076 พระองค์ได้สืบราชสมบัติ แต่การบริหารราชการแผ่นดินในช่วงเวลานั้นตกอยู่ในมือของสมเด็จพระไชยราชาธิราช (King 13) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการและเป็นเสร็จอา
ยุวกษัตริย์ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางที่จงรักภักดีต่อพระบิดา รวมถึงขุนนางฝั่งพระราชมารดา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของอาณาจักรในช่วงเวลาที่พระองค์ยังเด็ก อย่างไรก็ตามการสนับสนุนนี้ไม่เพียงพอ เมื่อสมเด็จอาอย่างพระไชยราชาธิราช (King 13) ซึ่งเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระบรมราชาธิบดีที่ 4 (King 11) ที่เคยครองเมืองพิษณุโลก ยกกองทัพมายึดกรุงศรีอยุธยาและจับยุวกษัตริย์ไปประหารตามโบราณราชประเพณี
การประหารชีวิตสมเด็จพระรัษฎาธิราช (King 12) เกิดขึ้นหลังจากที่ยุวกษัตริย์ครองราชย์ได้เพียง 5 เดือน โดยใช้วิธีการคลุมพระบาทด้วยกระสอบสีแดงและฟาดด้วยไม้จันทน์ที่คอ แม้ว่าในขณะนั้นพระองค์จะยังเป็นเด็กและไม่สามารถเป็นภัยใดๆ ได้ แต่การกำจัดพระองค์ถือเป็นมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความไม่สงบในอนาคต
ตอนความสงบก่อนแม่ไก่ขัน
การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระไชยราชาธิราช (King 13) มีผลกระทบอย่างมากต่อการเมืองภายในกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงและการบริหารราชการแผ่นดิน พระองค์ได้ชิงราชสมบัติจากสมเด็จพระรัษฎาธิราช (King 12) ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนในโครงสร้างอำนาจ การรัฐประหารนี้สร้างความตึงเครียดในหมู่ขุนนางและประชาชน
ในรัชสมัยพระองค์กรุงศรีอยุธยาต้องเผชิญกับสงครามสำคัญ เช่น สงครามเชียงกราน ในปี พ.ศ. 2081 เมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้แห่งกรุงหงสาวดียกทัพมาตีเมืองเชียงกราน ซึ่งเป็นหัวเมืองชายแดนทางตะวันตก สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงนำกองทัพหลวง รวมทั้งทหารอาสาชาวโปรตุเกสที่ชำนาญการใช้ปืนไฟ เข้าต่อสู้กับพม่า กองทัพไทยสามารถตีกองทัพพม่าแตกพ่ายและยึดเมืองเชียงกรานกลับคืนมาได้
ในด้านการเมือง พระองค์ทรงแต่งตั้ง ท้าวศรีสุดาจันทร์ จากราชวงศ์อู่ทองเป็นอัครมเหสี และผู้สำเร็จราชการ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงภายในราชสำนัก ซึ่งทำให้พระนางกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงในราชสำนัก โดยเฉพาะหลังจากการสวรรคตของพระองค์ในปี พ.ศ. 2091 ท้าวศรีสุดาจันทร์ได้ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนยวกษัตย์อีกพระองค์อย่างสมเด็จพระยอดฟ้า (King 14) ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 11 ปี
ที่มาจากการแต่งตั้งพระสนมเอกสี่ทิศ ในสมัยอยุธยา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระสนมเอกสี่ทิศมีที่มาจากราชวงศ์ที่สำคัญและมีอำนาจในแต่ละทิศรอบกรุง โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองในการเสริมสร้างความมั่นคงและอำนาจของพระมหากษัตริย์:
●
ท้าวอินทรสุเรนทร์ มาจากราชวงศ์สุพรรณภูมิ (ทิศตะวันตก) แสดงถึงการควบคุมดินแดนทางตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา
●
ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มาจากราชวงศ์พระร่วง (ทิศเหนือ) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกับอาณาจักรสุโขทัย
●
ท้าวอินทรเทวี มาจากราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช (ทิศใต้) สื่อถึงการควบคุมดินแดนทางใต้
●
ท้าวศรีสุดาจันทร์ มาจากราชวงศ์ละโว้-อโยธยา (ทิศตะวันออก) ที่มีอิทธิพลในภูมิภาคนี้
การแต่งตั้งพระสนมเอกจากราชวงศ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างอาณาจักร แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความมั่นคงของพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นด้วย
บทเรียนทางการเมืองจากการแต่งตั้งพระสนมเอกสี่ทิศ
การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ในมุมมองปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงบทบาทของสตรีในทางการเมืองและโครงสร้างอำนาจที่มีความหลากหลายทางความคิดและค่านิยม โดยเฉพาะในสมัยอยุธยา ซึ่งสตรีมีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้กับราชวงศ์ ผ่านการแต่งงานและการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างอาณาจักร
1.
การสร้างความสัมพันธ์ทางการเมือง: สตรีสามารถเป็นตัวกลางในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และขุนนาง ซึ่งช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเมือง การแต่งงานระหว่างตระกูลที่มีอำนาจทำให้เกิดเครือข่ายที่มั่นคง
2.
ผลกระทบจากการมีอำนาจของสตรี: แม้ว่าสตรีจะมีบทบาทสำคัญ แต่การที่พวกเขาได้รับอำนาจสูงในราชสำนักอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจในหมู่ขุนนาง เช่น กรณีท้าวศรีสุดาจันทร์ ที่แสดงแสดงให้เห็นว่าการมีบทบาทของสตรีในอำนาจจำเป็นต้องมีการจัดสมดุลเพื่อป้องกันความไม่สงบภายในรัฐ
การวิเคราะห์เหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงความซับซ้อนของโครงสร้างอำนาจในอดีต และสามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนาสังคมในปัจจุบันได้
ประวัติศาสตร์
ความรู้รอบตัว
เรื่องเล่า
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย