6 ก.พ. เวลา 03:52 • ไลฟ์สไตล์
วัดบางพลีใหญ่ใน

ประพฤติธรรมต้องไม่อยากได้อยากเป็น แม้ความวัดว่าตัวเองได้ขั้นไหนแล้วก็ให้ทิ้งเสีย แต่อย่าหยุดปฏิบัติ

ในหมู่นักปฏิบัติมักจะมีกระแสของการตั้งข้อสังเกตว่าผู้เดินอริยสัจคนไหนได้บรรลุธรรมระดับใดแล้วบ้าง และยังมีกลุ่มที่ตั้งความปรารถนาว่าจะต้องได้เป็นอริยบุคคลขั้นนั้นขั้นนี้ อันที่จริง การตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องที่ดีในทางโลก ที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายต่างๆได้ด้วยความบากบั่นเพียรพยายาม ซึ่งมักแฝงมาด้วย ภวตัณหา คือความอยากได้ อยากเป็น อยากมี
#อริยบุคคล #บรรลุธรรม
ในทางธรรม หรือการเจริญภาวนานั้น เราสามารถตั้งความปรารถนาให้บรรลุในมรรคผลนิพพานได้ แต่ต้องวางจิตให้อยู่ใน มัชฌิมาปฏิปทา คือทางเดินสายกลาง เพราะไม่เช่นนั้น ความปรารถนาของเราจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นความอยาก เช่น อยากเป็นโสดาบัน อยากเป็นพระอรหันต์ แล้วจะทำให้ใจเราหลงอยู่ในโลภะได้ เมื่อเราติดอยู่ในกับดักโลภวัฏฏะ จิตใจของเราจะร้อนรน วุ่นวายใจและทรมานใจเอาได้ว่าเมื่อไรจะถึงความเป็นอริยะเสียที นั้นเองจึงกลายเป็นนิวรณ์เครื่องขวางกั้นการบรรลุมรรคผลได้
การเข้าสู่กระแสแรกพระนิพพาน เราจะต้องบรรลุโสดาปัตติผล คือได้ความเป็นอริยะขั้นโสดาบันก่อน ถึงจะปิดประตูอบายทุคติได้หมดสิ้น และจะเหลือภพชาติให้ไปเวียนเกิดตายอีกไม่เกินเจ็ดชาติในสุคติเท่านั้น
โสดาบัน คนธรรมดาก็เป็นได้ เพียงแต่ความละเอียดของธรรมนั้นอาจมีความแตกต่างกันออกไป
โสดาบัน คือ มนุษย์ที่ยังมีความโลภ ความโกรธ และ ความหลง มีกิเลสเหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง มีครอบครัวได้ เพียงแต่ทุกครั้งที่กิเลสมาโสดาบันจะสามารถดับลงได้เร็วกว่ามนุษย์ธรรมดาปกติทั่วไป
เวลาโกรธใคร ก็ตัวสั่นปากสั่น แต่ไม่ทำอะไรใคร ไม่กล่าวคำหยาบให้ผิดศีล ไม่กล่าวคำโกหกใดๆ สัก 5 นาที ความโกรธก็จางคลายค่อยๆ หายไปทีละน้อย แล้วกลับสู่ปกติ
หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าโสดาบันจะต้องมีสติตลอดเวลา รู้ตัวทั่วพร้อมทุกเสี้ยววินาที แต่จริงๆ ไม่ถึงขนาดนั้น โสดาบันยังสามารถเศร้าเสียใจได้ สนใจบันเทิงศิลปะ ร้องไห้ได้ มีกามารมณ์ได้ และสามารถดับอารมณ์เหล่านั้นได้ไวกว่าปุถุชน แต่โสดาบันย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่พูดโกหกปลิ้นปล้อน ไม่สำส่อนหรือเป็นชู้ ไม่ลักขโมย และไม่ดื่มน้ำเมาทุกชนิด
นอกจากนี้ยังละวาง สักกายะทิฏฐิลงได้ กล่าวคือ โสดาบันจะรู้แล้วว่าร่างกายเป็นเพียงปัจจัยที่มาประกอบรวมกันของธาตุที่ถูกธรรมชาติปรุงแต่งออกมา ร่างกายจึงไม่ใช่ของของเรา ส่วนอีโก้ หรือ อัตตา (มานะ) ในบางส่วนนั้นยังอยู่ เช่น อีโก้เรื่องธรรมะ แต่เขาจะไม่ใช้มันในการแสดงความรู้อวดข่มผู้อื่น ไม่ว่าจะเรื่องธรรมะหรือเรื่องทางโลกก็ตาม
โสดาบัน ไม่มีความสงสัยเรื่องพระรัตนตรัยเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจะเข้าใจปรุโปร่งแล้วว่า ประพฤติธรรมแล้วได้อะไร ธรรมะเป็นอย่างไร กฏแห่งกรรมมีจริง นรกสวรรค์และภพภูมิต่างๆก็มีอยู่จริง คือไม่มีความสงสัยอะไรต่อธรรมะอีกแล้ว นอกจากนี้โสดาบันยังฟังเทศน์ฟังธรรมสม่ำเสมอตามโอกาส และไม่บูชา-บนบานศาลกล่าวอธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เวลาทำบุญทำทานโสดาบันจะทำไปเพื่อเสียสละ ประทานให้เพื่อกำจัดความตระหนี่อันถือเป็นมลทินต่อการหลุดพ้นวัฏสงสารเท่านั้น
เพราะโสดาบันย่อมแจ่มแจ้งแล้วว่าการหวังผลลัพธ์บุญจะทำให้จิตมีกิเลสเครื่องผูกรัดให้สัตว์ต้องกลับมาเวียนเกิดวนตายในวัฏสงสารอันเป็นวังวนแห่งมหันตภัยแห่งนี้โดยไม่จบไม่สิ้น การลูบคลำหวังผลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นการไม่ตั้งมั่นแน่วแน่ต่อศีลธรรม คนที่บูชาไหว้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงยังไม่สามารถปิดประตูนรก เดรัจฉานและเปรตวิสัยได้ ยังต้องมาเวียนวนไปเกิดเป็นสัตว์นรก เดรัจฉานบ้าง เทวดาบ้าง เปรตบ้างอยู่ร่ำไป กล่าวคือมีคติที่ไปไม่แน่ไม่นอน จั่วลุ้นยิ่งกว่าตรวจหาโรคร้ายหลายล้านเท่า
ดังนั้นผู้ปฏิบัติที่เป็นปุถุชนส่วนใหญ่จึงหวังเป็นพระโสดาบันเพื่อที่จะปิดอบายภูมิให้หมด จะได้ไม่ต้องกลับไปเกิดในภพภูมิที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัสอีก แต่หลายคนมักตั้งจิตวางความปรารถนาผิด เพราะมัวแต่รอวัดผลว่าถึงโสดาบันหรือยัง แต่กลับไม่แยบคายในการภาวนา ลืมใส่ใจในความปราณีตของสิ่งที่ทำอยู่ เพราะมัวแต่วัดภูมิธรรมตัวเอง เทียบภูมิธรรมผู้อื่น บ้างหนักถึงขั้นเปรียบเทียบคนนั้นคนนี้ว่าใช่หรือไม่ใช่อริยบุคคล
อาจกล่าวได้ว่า การกลับมาอยู่กับตัวเองเพื่อเดินทางตามธรรมอยู่ภายใน เป็นนักเดินทางภายใน ถือเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด เปรียบได้ดั่งเต่าที่หดหัวหางและขาทั้งสี่ให้อยู่ในกระดอง ไม่ส่งจิตออกไปปฏิฐิตังข้างนอก ไม่ไปก้าวล่วงวาระจิตวิสัยของผู้อื่น หมั่นเพียรกระทำไว้ในใจตนให้แยบคายด้วยหลักอริยสัจสี่ เพื่อให้อนาคตจะได้ปลอดภัยจากทุกขภัยในสังสารวัฏ หากปัจจุบันเราทำความเพียรดีเสมออยู่แล้ว โดยไม่เครียดครัดจนฟุ้งซ่าน และอยู่ในทางสายกลาง อนาคตย่อมไม่พ้นความเป็นอริยะ เพราะปัจจุบันดีอยู่ อนาคตย่อมดีแน่
คนที่เดินตามธรรมในลักษณะดังกล่าวจึงไม่กังวลว่า บัดนี้ตนได้บรรลุขั้นไหนแล้ว บัดนี้ตนได้ญาณหยั่งรู้ระดับใดแล้ว คนไหนเป็นอริยบุคคล คนไหนไม่ใช่อริยบุคคล ความสงสัยว้าวุ่นใจพวกนี้จะไม่ปรากฏอยู่ในลานจิตของผู้เดินตามธรรมวินัยของพระพุทธองค์เลย เขาจะมีความเมตตาและมองทุกอย่างว่าย่อมมีวาระเวลาอันเหมาะสมของมันเอง ถึงพร้อมเมื่อไรก็เมื่อนั้น ไม่มีเหตุให้ต้องไปประเมินหรือก้าวล่วงนั่นเอง แม้ตัวเองจะได้ความเป็นอริยะแล้วก็ไม่ประกาศตนว่าเป็นอริยะเด็ดขาด ดังนั้นพวกประกาศตนส่วนใหญ่ย่อมไม่พ้นหลงในฌานหรือไม่ก็กำมะลอ
แอดมินอุทธังโสโตอกนิษฐคามี แห่งเพจเฟซบุ๊ค "ธรรมะแฟนตาซี"
โฆษณา