Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
12 ก.พ. เวลา 04:20 • สุขภาพ
เรื่องเล่าของการแพทย์ทางไกลที่เปลี่ยนชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจและเบาหวาน
สวัสดีครับทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งกับผมเภสัชกรเวชคนเดิมที่อยากจะชวนทุกคนมาฟังเรื่องเล่าที่น่าสนใจครับ วันนี้ผมไม่ได้มาพร้อมบทความวิชาการหนักๆ แต่จะมาเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ และผมเชื่อว่ามันจะโดนใจใครหลายๆ คนที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจและเบาหวานครับ
จุดเริ่มต้นจากความสงสัยเล็กๆ
เรื่องมันเริ่มจากคำถามง่ายๆ ในใจผมครับว่า "เทคโนโลยีที่เราใช้กันทุกวันเนี่ย มันจะช่วยดูแลสุขภาพเราได้จริงเหรอ?" คือเราเห็นข่าว เห็นโฆษณาเยอะแยะไปหมด แต่ในฐานะเภสัชกร ผมก็อยากจะรู้ว่าแล้วในทางปฏิบัติจริงๆ ล่ะ มันเวิร์คไหม?
บังเอิญว่าช่วงนั้นผมได้ไปอ่านเจองานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Nature Medicine ชื่อบทความยาวเหยียดเลยครับว่า "Telemedicine-supported lifestyle intervention for glycemic control in patients with CHD and T2DM"
(การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตโดยใช้การแพทย์ทางไกลเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจและเบาหวานชนิดที่ 2) อ่านชื่อแล้วอาจจะงงๆ หน่อย แต่ใจความสำคัญคือ เขาศึกษาว่าการใช้เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกลเนี่ย มันช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจและเบาหวานดูแลตัวเองได้ดีขึ้นจริงหรือเปล่า?
#ปัญหาใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้
ก่อนจะไปถึงผลการวิจัย ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึง "ปัญหา" ที่งานวิจัยนี้พยายามจะแก้ไขก่อนครับ ลองคิดดูนะครับว่าถ้าคุณหรือคนที่คุณรักป่วยเป็นทั้งโรคหัวใจและเบาหวานพร้อมๆ กัน ชีวิตมันจะยากลำบากขนาดไหน นอกจากจะต้องกินยาหลายชนิดแล้ว ยังต้องคอยไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจติดตามอาการอยู่เรื่อยๆ ยิ่งถ้าเป็นผู้สูงอายุ การเดินทางไปโรงพยาบาลแต่ละครั้งนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ
แล้วโรคพวกนี้มันอันตรายขนาดไหน? จากข้อมูลที่นักวิจัยยกมาอ้างอิง ในปี 2021 มีคนเสียชีวิตจากโรคหัวใจทั่วโลกเกือบ 10 ล้านคน และถ้ารวมกับโรคเบาหวานเข้าไปด้วย สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก เพราะมันเหมือนเป็นการ "คูณสอง" ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของนักวิจัยกลุ่มนี้ก็คือจะทำยังไงให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ดูแลสุขภาพตัวเองได้ดีขึ้น โดยที่ไม่ต้องลำบากเดินทางไปโรงพยาบาลบ่อยๆ
#เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
แนวคิดที่นักวิจัยนำมาใช้ก็คือ "Telemedicine" หรือ "การแพทย์ทางไกล" ครับ ซึ่งก็คือการใช้เทคโนโลยีสื่อสารต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แอปพลิเคชัน หรือวิดีโอคอล มาช่วยในการดูแลสุขภาพผู้ป่วยที่บ้าน
ในงานวิจัยนี้เขาได้ทำการทดลองกับผู้ป่วย 502 คน ที่เป็นทั้งโรคหัวใจและเบาหวานชนิดที่ 2 โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้รับการดูแลแบบปกติ (ก็คือไปโรงพยาบาลตามนัด) ส่วนอีกกลุ่มได้รับการดูแลเพิ่มเติมด้วยโปรแกรมพิเศษที่บ้าน โดยมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
โปรแกรมพิเศษนี้ไม่ใช่แค่การ "วิดีโอคอลคุยกับหมอ" นะครับ แต่มันเป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาอย่างดี ประกอบไปด้วย 3 ส่วนสำคัญคือ
1. ออกกำลังกายที่บ้าน ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำในการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ใช่ให้ออกกำลังกายหนักๆ จนเกินกำลังนะครับ แต่เป็นการออกกำลังกายเบาๆ ที่ทำได้จริงที่บ้าน เช่น เดิน หรือปั่นจักรยาน
2. กินอาหารให้ดีต่อสุขภาพ ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำเรื่องอาหารการกิน เน้นอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจและช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ไม่ใช่ให้อดอาหารนะครับ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ดีขึ้น
3. เรียนรู้เรื่องสุขภาพ ผู้ป่วยจะได้รับการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคของตัวเอง วิธีการดูแลตัวเอง และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อให้เข้าใจและดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง
และที่สำคัญคือ โปรแกรมนี้มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยตลอดเวลา ผู้ป่วยจะได้รับแอปพลิเคชันบนมือถือ เพื่อบันทึกข้อมูลการออกกำลังกาย ระดับน้ำตาลในเลือด และข้อมูลสุขภาพอื่นๆ แถมยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยโทรศัพท์และส่งอีเมลมาให้คำปรึกษาและให้กำลังใจอยู่เสมอ เหมือนมี "โค้ชส่วนตัว" คอยดูแลอยู่ที่บ้านเลยครับ
#ผลลัพธ์ที่ทำให้ยิ้มออก
แล้วผลการทดลองเป็นยังไง? หลังจากผ่านไป 6 เดือน นักวิจัยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลด้วยโปรแกรมการแพทย์ทางไกล มีระดับน้ำตาลในเลือด (HbA1c) ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับการดูแลแบบปกติ
อาจจะดูเหมือนลดลงไม่เยอะนะครับ แต่ในทางการแพทย์ การลดลงของ HbA1c แค่เล็กน้อย ก็มีความหมายสำคัญแล้วครับ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมนี้ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยได้จริง
เท่านั้นยังไม่พอครับ กลุ่มที่ได้รับการดูแลด้วยโปรแกรมการแพทย์ทางไกล ยังมีน้ำหนักตัวลดลงมากกว่า และรู้สึกว่าสุขภาพจิตใจดีขึ้น แถมยังมีความรู้เรื่องสุขภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่า "ได้หลายต่อ" เลยทีเดียว
#แต่...ทุกอย่างไม่ได้สวยงามเสมอไป
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ก็ไม่ได้มีแต่ด้านบวกนะครับ สิ่งที่น่าสนใจ (และอาจจะน่าใจหายเล็กน้อย) คือเมื่อโปรแกรมสิ้นสุดลงที่ 6 เดือน และผู้ป่วยไม่ได้ติดต่อกับทีมผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดเหมือนเดิม ผลลัพธ์ที่ดีเหล่านี้กลับไม่ยั่งยืน เมื่อติดตามผลไปถึง 12 เดือน พบว่าความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มในด้านระดับน้ำตาลในเลือดและสุขภาพอื่นๆ ไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
พูดง่ายๆ ก็คือพอไม่มีคนคอยกระตุ้น คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ผลลัพธ์ที่ดีที่เคยได้มาก็ค่อยๆ หายไป
#บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้
จากเรื่องเล่าในงานวิจัยชิ้นนี้ ผมได้ข้อคิดหลายอย่างเลยครับ
1. เทคโนโลยีมีประโยชน์ การแพทย์ทางไกลเป็นเครื่องมือที่ดีในการดูแลสุขภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่บ้าน แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง ผู้ป่วยยังต้องการการดูแลเอาใจใส่จาก "คนจริงๆ" อยู่
2. กำลังใจและการสนับสนุนสำคัญกว่าเทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา ความอดทน และกำลังใจอย่างมาก การมีคนคอยให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
3. การดูแลสุขภาพแบบผสมผสานอาจเป็นทางออก การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีกับการดูแลแบบ "มนุษย์" การแพทย์ทางไกลกับการพบแพทย์ที่โรงพยาบาล การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน อาจเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้
#คำถามที่ยังอยู่ในใจ
เรื่องราวของการแพทย์ทางไกลในงานวิจัยชิ้นนี้ ทำให้ผมฉุกคิดถึงเรื่องใกล้ตัวหลายอย่างครับ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงเรื่องสุขภาพด้วย แต่เราจะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร
ผมหวังว่าเรื่องเล่าวันนี้จะเป็นประโยชน์และกระตุ้นให้ทุกคนได้คิดถึงเรื่องสุขภาพในยุคดิจิทัลนะครับ ถ้าใครมีประสบการณ์หรือความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะครับ และอย่าลืมนะครับว่า สุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากการดูแลตัวเองในทุกๆ วันครับ
เอกสารอ่านเพิ่มเติม
1.
https://www.nature.com/articles/s41591-025-03498-w
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
ความรู้รอบตัว
บันทึก
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย