9 ก.พ. เวลา 05:00 • สิ่งแวดล้อม

ไทยควรใช้ ‘ไม้แข็ง’ กับเพื่อนบ้าน? ถึงจะแก้ PM2.5 อย่างได้ผล

ท่ามกลาง ‘การเผาของประเทศเพื่อนบ้าน’ ที่ยังคงสีแดงฉาน ไทยพยายามขอความร่วมมือ เพื่อลด PM2.5 แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล การเปลี่ยนไปใช้ ‘ไม้แข็งทางเศรษฐกิจ’ แทน จะเป็นทางออกหรือไม่ เพื่อแก้ PM2.5 อย่างเด็ดขาด
ทุกวันนี้ก่อนที่คนไทยจะออกจากบ้าน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมอกพิษ PM2.5 ฝุ่นที่เทียบเท่ากับ “การสูบบุหรี่” ซึ่งบั่นทอนสุขภาพ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในระยะยาว ต้นตอฝุ่นในไทยเหล่านี้ นอกจากในประเทศแล้ว ฝุ่น PM2.5 ที่พัดจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ลาว และกัมพูชามายังไทย ก็เลวร้ายไม่แพ้กัน โดยเฉพาะกัมพูชาที่มีจุดเผาแดงเข้มกว่าการเผาในไทยเสียอีก
1
ตลอดที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้พยายามแก้ปัญหา PM2.5 ด้วยแนวทาง “ขอความร่วมมือ” กับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงความร่วมมือในกรอบอาเซียนเรื่องฝุ่นข้ามแดนอย่าง ASEAN Transboundary Haze Free Roadmap (ATHFR) ซึ่ง “ไม่ได้มีบทลงโทษ” เหมือนสหภาพยุโรป แต่ผลลัพธ์ คือ จุดเผาของเพื่อนบ้านก็ยังคงสีแดงเข้ม
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดคำถามที่น่าสนใจว่า ถ้าไทยลองปรับนโยบายใหม่ เป็นใช้ “ไม้แข็งทางเศรษฐกิจ” กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างการขึ้นกำแพงภาษี และคว่ำบาตรสินค้าเกษตรที่ก่อ PM2.5 จะเป็นอย่างไรบ้าง อย่างที่ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐใช้การขึ้นภาษี เพื่อกดดันเพื่อนบ้านเม็กซิโกให้จัดการปัญหายาเสพติด และผู้อพยพที่ทะลักเข้ามา
แม้แต่ “สิงคโปร์” ที่อยู่ในอาเซียน เคยได้รับฝุ่นพิษมหาศาลจากการเผาป่าในอินโดนีเซีย รัฐบาลก็ออกกฎหมายบังคับบริษัทที่มีฐานในสิงคโปร์ไม่ให้ทำเกษตรแบบเผาในอินโดนีเซีย หากบริษัทใดฝ่าฝืน ก็จะถูกปรับเงินอย่างหนัก รวมถึงสิงคโปร์ยัง “คว่ำบาตร” สินค้าที่ทำลายสิ่งแวดล้อม อย่างผู้ผลิตเยื่อกระดาษของอินโดนีเซีย จนแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้สำเร็จ
ดังนั้น ถ้าไทยหันไปใช้ “ไม้แข็ง” อย่างที่สิงคโปร์ใช้จะเป็นอย่างไรบ้าง “กรุงเทพธุรกิจ” จึงได้สัมภาษณ์กับ รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน และ รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และการวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเกษตร เพื่อจะมาไขคำตอบเรื่องนี้ว่า “ไทยควรถึงเวลาใช้ไม้แข็งกับเพื่อนบ้านแล้วหรือยัง”
1
📌ห้ามนำเข้าพืชเกษตรเผาทันที
อ.อัทธ์ให้ความเห็นว่า “เห็นด้วย” ในการใช้ไม้แข็งทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะสถานการณ์ฝุ่นไทยในขณะนี้ไม่ไหวแล้ว อยู่ในขั้นวิกฤติ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รัฐบาลควรเริ่มจากห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรเผาของประเทศเพื่อนบ้านทันที เพื่อกดดันเพื่อนบ้านให้หยุดเผา โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งไทยมีความต้องการใช้เฉลี่ยปีละ 8-10 ล้านตัน แต่ผลิตได้เองราว 5 ล้านตัน ส่วนที่เหลือนำเข้าจากต่างประเทศ
“คำว่าไม้แข็ง คือ ห้ามนำเข้าทันที ตอนนี้เลย ห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งปลูกเยอะในพม่าและกัมพูชา เพราะฉะนั้นห้ามนำเข้าทันที” อ.อัทธ์กล่าว
ส่วนประเด็นการค้าเสรีอาเซียน อ.อัทธ์ตอบว่า “ก็น่าจะมีกฎหมายที่เรามีอยู่แล้ว สามารถจะทำได้ กฎหมายการนำเข้าส่งออก แม้จะเป็นเรื่องการเปิดเสรีในอาเซียนก็ตาม ก็เนื่องจากมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้นๆในอาเซียน น่าจะทำได้ เพราะว่าสิงคโปร์ก็ทำทันทีเหมือนกัน”
ไม่เพียงเท่านั้น จากกรณีสิงคโปร์ปรับเงินบริษัทที่นำเข้าพืชเกษตรเผา อ.อัทธ์มองว่า
“ไทยก็ควรกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ไปนำเข้า โดยเฉพาะข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านมา โดยที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าไม่เผา ซึ่งการพูดถึงหลักฐานชัดเจน ผมคิดว่า เขาก็คือประเทศพม่าและกัมพูชา ไม่น่าจะมีการเก็บข้อมูลหรือหลักฐาน การขึ้นทะเบียนหรือการตรวจสอบอยู่แล้ว หรือมีระบบเตือนภัย ผมว่าไม่มี เพราะฉะนั้นการไปตรวจและมีเอกสารสำแดงบอกว่า นี่ไม่ได้เป็นข้าวโพดที่เกิดจาการเผา ผมว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น คือ ไม่น่าจะทำได้ พูดง่าย ๆ เพราะฉะนั้นถ้าเราอะลุ่มอล่วย คุณต้องไปเอาเอกสารมาว่าคุณไม่เผา ผมว่าเป็นการหลอกกัน”
“ทำไมผมพูดแบบนี้ เพราะว่าประเทศไทย ตอนนี้เรามีกฎหมายนะ ใครเผาผิดกฎหมาย มันจะขึ้นเตือนสีแดงในที่ศาลากลาง เราบังคับใช้ยังไม่ได้เลย ไปนับประสาอะไร เพราะฉะนั้นระบบเตือนภัยในพม่าและกัมพูชา ผมว่าไม่มี การบังคับใช้ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นวิธีแก้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ใช่การแสดงเอกสารว่านี่ไม่ใช่มาจากสวนที่ไม่เผา ผมว่าการใช้สำแดงเอกสารไม่น่าจะได้ผล ซึ่งเราก็เห็นชัดเจนว่าขณะนี้มันไม่ได้ผล” อ.อัทธ์กล่าว
ขณะเดียวกัน อ.อัทธ์ชี้ว่า การใช้มาตรการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดห้ามนำเข้า ก็จะกระทบความอยู่รอดของอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ เพราะไม่มีอาหารที่ไปเลี้ยงสัตว์ เพราะฉะนั้น รัฐบาลควรเตรียม “แผนสำรอง” ในการหาอุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศอื่นอย่างอเมริกาใต้ บราซิล อาร์เจนตินา หรือจีนไว้ก่อน ที่อยู่นอกเหนือจากโซนอาเซียน เพื่อชดเชยกับการห้ามนำเข้าดังกล่าว
นอกจากนี้ คำว่า “ความร่วมมือ” ในนิยามของอ.อัทธ์ ไม่ใช่เพียงการพูดหรือยกหูคุยอย่างเดียว แต่คือการต้องมีโครงการเข้าไปทำร่วมกับเขา อย่างโครงการไม่เผา ไทยอาจจะเป็นพี่ใหญ่เข้าไปทำร่วมกันให้เพื่อนบ้านเห็น พร้อมให้เงินช่วยเหลือ ให้เปลี่ยนวิธีการเกษตรใหม่ ถ้าเขาทำได้ ไทยจะซื้อพืชเกษตรนั้นในราคาสูงขึ้น คือเอา “มาตรการราคา” มาจูงใจให้เพื่อนบ้านเปลี่ยน แต่ทั้งนี้ ไทยจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย ควบคุมการเผาในประเทศให้ดี คือทำควบคู่กันทั้งฝุ่นในประเทศและฝุ่นจากเพื่อนบ้าน
📌ให้เงินช่วยเหลือเพื่อนบ้าน หนุนเปลี่ยนวิถีเกษตร
ด้าน อ.วิษณุมองว่า สำหรับปัญหาฝุ่น PM2.5 ไทยควรเริ่มจาก “มาตรการไม้นุ่มก่อน” ด้วยการให้เงินช่วยเหลือเพื่อนบ้านแบบมีเงื่อนไข เพราะถ้าใช้ไม้แข็งแต่แรก อาจสร้างความร้าวฉานในความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านได้
“ไม้นุ่มในที่นี้ คือ เราขอความร่วมมือ นั่นคือไม้นุ่มที่สุดแล้ว ซึ่งมักจะไม่ค่อยได้ผลอยู่แล้ว ทีนี้ก่อนที่จะไปสู่ระดับไม้แข็ง ผมว่าจริง ๆ แล้วบริบทของการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งไทยและก็ประเทศเพื่อนบ้าน มีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นในความคิดส่วนตัวและประสบการณ์จากอดีตของต่างประเทศ เขาจะเริ่มจากให้ความช่วยเหลือก่อน เช่น ไทยอาจจะต้องเสนอให้เงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข ให้กับทางกัมพูชา ลาว และเมียนมา”
“ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยน การปรับตัวจากการเผาเป็นไม่เผา มันมีต้นทุนเกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศเขาไม่ได้ดีมาก เหมือนกับเกษตรกรไทยเหมือนกัน สั่งห้ามเผาก็เผาอยู่ เพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น เพราะฉะนั้นอันที่ต้องเสนอก่อน คือ เงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข พร้อมองค์ความรู้ด้วย นั่นคือไทยจะต้องระดมความรู้และไปอบรมให้ความรู้เพื่อนบ้าน”
โฆษณา