9 ก.พ. เวลา 04:26 • ไลฟ์สไตล์

Starbucks: ร้านกาแฟที่เป็นมากกว่ากาแฟ

(หรือเรากำลังซื้อ “ความรู้สึก” มากกว่าซื้อกาแฟ?)
ช่วงนี้ร้านกาแฟเปิดกันแทบทุกหัวมุมถนน ราคาก็มีตั้งแต่แก้วละ 30 บาท ไปจนถึงหลักร้อย
บางร้านคั่วเมล็ดเอง มีเมนูลับเฉพาะ ร้านบางแห่งอาจให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ญี่ปุ่น บางที่ตกแต่งสไตล์มินิมอลเกาหลี
แต่ทำไม Starbucks ยังคงเป็น Starbucks?
1. เราไม่ได้ซื้อแค่กาแฟ แต่เราซื้อ “Feeling”
เคยไหม? เข้าไปร้านกาแฟบางที่ พนักงานก็รับออเดอร์เฉยๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่พอเดินเข้า Starbucks
• “สวัสดีค่ะ วันนี้รับเหมือนเดิมไหมคะ?”
• “อากาศร้อนแบบนี้ ลองเมนูเย็นๆ ดีไหมคะ?”
• “ช็อตเอสเพรสโซ่เข้มๆ แบบคุณ ต้องเพิ่มพลังสุดๆ เลยค่ะ”
สตาร์บัคส์ไม่ได้ขายแค่กาแฟ แต่ขาย “Feeling” ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็น “ลูกค้าคนพิเศษ”
บางทีเช้าวันนั้นอาจจะเหนื่อย อยากได้อะไรที่ Boost Energy พอมีคนใส่ใจ มันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น
2. “Welcome Home” Effect: ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน
Starbucks ไม่ใช่ร้านที่แค่ขายกาแฟแล้วจบ
แต่เค้าทำให้ทุกคนที่ก้าวเข้ามารู้สึกว่า “Welcome Home”
• มีโต๊ะที่เหมาะกับการนั่งทำงาน
• มีปลั๊กให้เสียบชาร์จฟรี (ซึ่งบางร้านหวงมาก)
• มีบรรยากาศสบายๆ ที่นั่งได้นานโดยไม่ถูกกดดัน
ลองคิดดูว่าทำไมเวลาจะนั่งประชุม นัดคุยงาน หรือทำงานนอกสถานที่ Starbucks มักจะเป็นตัวเลือกแรก?
3. พลังของ “ชื่อ” บนแก้ว
เคยสังเกตไหม? เวลาสั่งกาแฟ พนักงานจะถามชื่อเสมอ
“รับลาเต้ร้อนนะคะ คุณแพร” แล้วก็เขียนชื่อลงบนแก้ว
ที่อื่นอาจจะบอกแค่ “รับลาเต้ร้อนค่ะ คิวที่ 5” แต่ Starbucks ทำให้ทุกแก้วมีความเป็น “Personalized”
การที่มีชื่อเราอยู่บนแก้ว มันเหมือนกาแฟแก้วนี้ถูกทำขึ้นมาเพื่อเราโดยเฉพาะ
4. พนักงานที่ “แอคทีฟ” ไม่ใช่แค่ “รับออเดอร์”
การเทรนด์พนักงานของ Starbucks ไม่ใช่แค่สอนให้ชงกาแฟ
แต่เป็นการสอนให้ “สื่อสารกับลูกค้าแบบ Active”
• ใช้ภาษากายที่เป็นมิตร ยิ้มและสบตาเสมอ
• แนะนำเมนูที่เหมาะกับอารมณ์ลูกค้า ไม่ใช่แค่บอกว่า “มีอะไรบ้าง”
• ถ้าลูกค้าดูรีบ จะรับออเดอร์เร็วขึ้น ถ้าลูกค้าดูอยากชิล ก็จะพูดคุยมากขึ้น
ต่างจากบางร้านที่อาจจะยืนเงียบๆ รับเงิน พูดแค่ว่า “รับอะไรดีคะ” แบบไม่มีอินเนอร์
5. กลยุทธ์ที่ทำให้ Starbucks แตกต่างจากร้านกาแฟทั่วไป
กลยุทธ์ที่ 1: การสร้าง “Third Place”
Starbucks ไม่ใช่แค่ที่ซื้อกาแฟ แต่เป็น “ที่ที่สาม” ของชีวิตคนเรา (นอกจากบ้านและที่ทำงาน)
• ที่ที่สามารถนั่งทำงานได้
• ที่ที่ใช้พบปะเพื่อนฝูง
• ที่ที่คนรู้สึกผ่อนคลาย
กลยุทธ์ที่ 2: Loyalty Program (สะสมดาว = สะสมใจ)
• Starbucks Rewards ให้ลูกค้าสะสมดาว แลกเครื่องดื่มฟรี
• ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ
• สร้าง “Habit” ในการดื่มกาแฟที่ Starbucks
กลยุทธ์ที่ 3: การเลือกโลเคชันที่ใช่
• Starbucks อยู่ในจุดที่เดินทางสะดวก ไม่ว่าจะเป็นห้าง สนามบิน หรือแม้แต่ Drive-Thru
• แทบทุกที่ที่มี Starbucks มักจะเป็นจุดที่คนแวะเวียนเข้ามาง่าย
กลยุทธ์ที่ 4: การตลาดแบบ Emotional Connection
• โฆษณาของ Starbucks ไม่เคยพูดว่า “กาแฟเราดีที่สุด”
• แต่พูดถึงความสุข ความสัมพันธ์ และ “Moments” ที่เกิดขึ้นในร้าน
สรุป: ทำไม Starbucks ยังคงเป็น Starbucks?
1. เราไม่ได้ซื้อแค่กาแฟ แต่ซื้อ “Feeling” ที่ได้รับจากพนักงาน
2. บรรยากาศของร้านทำให้รู้สึกเหมือน “บ้านหลังที่สาม”
3. การจดจำชื่อและเขียนบนแก้ว ทำให้รู้สึกเป็นส่วนตัว
4. พนักงานที่ “Active Service” สร้างความประทับใจให้ลูกค้า
5. กลยุทธ์ Loyalty, Location และ Emotional Marketing ทำให้ลูกค้ากลับมา
ถึงแม้กาแฟอาจจะไม่ได้ดีที่สุดในโลก แต่ Starbucks ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “แค่เข้ามา ก็ได้รับพลังงานดีๆ กลับไป”
แล้วคุณล่ะ เคยได้รับพลังงานดีๆ จาก Starbucks ไหม? หรือมีร้านกาแฟไหนที่ให้ฟีลแบบนี้ มาแชร์กันได้เลย!
โฆษณา