Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Bnomics
•
ติดตาม
11 ก.พ. เวลา 02:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทย GEN BETA: โอกาสและความท้าทายในยุคเปลี่ยนผ่าน
📌เศรษฐกิจไทย GEN BETA
ในโลกยุคปัจจุบันที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและซับซ้อนเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายและโอกาสที่เกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ แนวคิด "เศรษฐกิจไทย GEN BETA" จึงถูกหยิบยกขึ้นเพื่อสะท้อน
ถึงการปรับตัวและความยืดหยุ่นของประเทศไทยในการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางบริบทที่ไม่หยุดนิ่ง
คำว่า "GEN BETA" ไม่ได้สื่อถึงเพียงคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความพร้อมในการทดลอง เรียนรู้ และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจเดิมและตอบสนองต่อเทรนด์ระดับโลก เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล การผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การย้ายฐานการผลิตของธุรกิจข้ามชาติ (Friendshoring) และความกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นยิ่งขึ้น
เศรษฐกิจไทย GEN BETA จึงไม่ใช่เพียงแค่การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด แต่เป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก และพัฒนาเศรษฐกิจที่สมดุล ครอบคลุม และยั่งยืนสำหรับทุกภาคส่วนในสังคม
📌ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 แนวโน้มปี 2568
เศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.7 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการบริโภคภายในประเทศที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการพลังงานสะอาด การขนส่ง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว
ทั้งนี้ การฟื้นตัวดังกล่าวยังได้รับผลจากการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน
สำหรับปี 2568 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 3.0 โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นนักลงทุน การพัฒนานโยบายส่งเสริมการลงทุนโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และความต้องการจากตลาดต่างประเทศที่ยังคงขยายตัว โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนและจีน นอกจากนี้ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูงและการขยายท่าเรือน้ำลึก ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาค
อัตราเงินเฟ้อในช่วงปี 2567 และ 2568 คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากราคาพลังงานที่ทรงตัวและมาตรการควบคุมราคาสินค้าของภาครัฐ การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงมุ่งเน้นความระมัดระวัง เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว ขณะที่นโยบายการคลังยังคงเน้นการกระจายรายได้ การสร้างงานในระดับภูมิภาค และการสนับสนุนโครงการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ได้แก่
📍การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
ภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 มีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่กว่า 35 ล้านคน ซึ่งเกือบเทียบเท่ากับระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ในปี 2562
ปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาล เช่น การยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจากบางประเทศ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับนานาชาติ อาทิ โครงการ “Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025” ที่มุ่งสร้างการรับรู้และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ อาเซียน จีน อินเดีย เกาหลี รัสเซีย และญี่ปุ่น
ความหลากหลายของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 คาดว่าจะสูงถึง 1.67 ล้านล้านบาท โดยมีการใช้จ่ายต่อหัวที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เช่น นักท่องเที่ยวจากรัสเซียและจีน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปสูง นอกจากนี้ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในปีนี้ยังส่งผลดีต่อภาคบริการที่เกี่ยวเนื่อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และธุรกิจค้าปลีกในแหล่งท่องเที่ยวหลัก
สำหรับปี 2568 แนวโน้มภาคการท่องเที่ยวยังคงสดใส โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น กว่า 40 ล้านคน จากการขยายตลาดใหม่ในยุโรปและตะวันออกกลาง ตลอดจนการส่งเสริมการเดินทางระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นอกจากนี้ การยกระดับมาตรฐานบริการและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เช่น สนามบิน โรงแรม และระบบขนส่งมวลชน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลก ทั้งนี้ การเติบโตอย่างยั่งยืนของภาคการท่องเที่ยวจำเป็นต้องควบคู่ไปกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมเพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว
1. การขยายตัวของการส่งออก
ภาคการส่งออกของไทยในปี 2567 มีการฟื้นตัวในหลายกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และสินค้าเกษตรแปรรูป อันเป็นผลจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลกและการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า การส่งออกในหมวดสินค้ายานยนต์ เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะ มีการเติบโตอย่างชัดเจนในตลาดสำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลียและอาเซียน รวมถึงการส่งออกยางล้อไปยังสหรัฐฯ และยางสังเคราะห์ไปจีน
ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของภาคส่งออก นอกจากนี้ มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การลงนามข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี มีบทบาทสำคัญในการช่วยเปิดตลาดใหม่และลดข้อจำกัดทางการค้า อย่างไรก็ดี ผู้ส่งออกไทยยังคงเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษีและการแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มขึ้นจากจีน รวมถึงความผันผวนของค่าเงินบาทที่อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก
สำหรับปี 2568 แนวโน้มการส่งออกของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยมีสินค้าหลักอย่างสินค้าเทคโนโลยี เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจดิจิทัลและความต้องการในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูปที่ยังคงมีศักยภาพในตลาดจีน ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกในปีนี้ยังรวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา อาเซียน และจีน ซึ่งมีการขยายตัวของการบริโภคสินค้าและบริการ รวมถึงการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย–ยูเครน และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพด้านราคาพลังงานและต้นทุนโลจิสติกส์ นอกจากนี้ การตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าก็อาจกระทบต่อการส่งออกบางกลุ่มสินค้า รวมถึงความผันผวนของราคาวัตถุดิบ เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ที่อาจเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิต
จากปัจจัยสนับสนุนและความท้าทายดังกล่าว คาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงใหม่ ๆ ที่ส่งผลกระทบรุนแรง ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้า การเพิ่มมูลค่าในห่วงโซ่อุปทาน และการเจาะตลาดใหม่ เพื่อเพิ่มความยั่งยืนในการแข่งขันในตลาดโลก
2. การลงทุนจากต่างประเทศ
ในปี 2567 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่สูงถึง 1.138 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งถือเป็นมูลค่าสูงสุดในรอบ 10 ปี การลงทุนส่วนใหญ่กระจุกตัวในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานสะอาด
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในกิจการศูนย์ข้อมูล (Data Center) และบริการคลาวด์ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 241,000 ล้านบาท การลงทุนดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศที่ลงทุนในไทยมากที่สุดในปี 2567 ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่น โดยสิงคโปร์มีสัดส่วนการลงทุนที่สูง เนื่องจากมีการลงทุนขนาดใหญ่จากบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในจีนและสหรัฐฯ นอกจากนี้ พื้นที่ภาคตะวันออกยังคงเป็นแหล่งลงทุนหลักของประเทศ โดยคิดเป็นร้อยละ 50 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ซึ่งได้รับแรงหนุนจากโครงการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และนิคมอุตสาหกรรมครบครัน
ในปี 2568 แนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศคาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีแรงสนับสนุนจากโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง สนามบิน และท่าเรือน้ำลึก ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาค นอกจากนี้ การขยายตัวของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียนและระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems) รวมถึงการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ระบบอัตโนมัติและอุตสาหกรรม 4.0 จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังสามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และเขตการค้าเสรี RCEP ในการเปิดตลาดใหม่และลดการพึ่งพาตลาดเดิม
📍การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยในปี 2567 และ 2568 มีบทบาทสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการใหญ่ใน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมุ่งเป้าสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการที่สำคัญประกอบด้วย
⭐โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
โครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า 224,544 ล้านบาท โดยเป็นการเชื่อมโยงสนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา คาดว่าโครงการจะเปิดให้บริการในปี 2570 ซึ่งไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า แต่ยังช่วยกระตุ้นการลงทุนในพื้นที่โดยรอบเส้นทางรถไฟ เช่น นิคมอุตสาหกรรม โรงแรม และโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมดังกล่าวยังเพิ่มศักยภาพในการเชื่อมโยงกับประเทศในอาเซียน เช่น กัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการพัฒนาโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค
⭐สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์กลางการบินและโลจิสติกส์แห่งใหม่ของภูมิภาค มีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารและระบบขนส่งสินค้าอัตโนมัติ เพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศในอนาคต สนามบินแห่งนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมการบิน เช่น ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ที่มีความสามารถในการให้บริการแก่สายการบินจากภูมิภาคต่าง ๆ คาดว่าจะเริ่มทดลองใช้งานในปี 2569
⭐นิคมอุตสาหกรรมในเขต EEC
พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในเขต EEC มีการพัฒนาเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานสะอาด โดยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เช่น ระบบสาธารณูปโภคที่รองรับการผลิตขนาดใหญ่ และพื้นที่สำหรับวิจัยและพัฒนานวัตกรรม นอกจากนี้ นิคมอุตสาหกรรมยังออกแบบให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน และการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ
⭐การพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม
โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 เป็นอีกหนึ่งโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าและรองรับความต้องการของตลาดโลก คาดว่าจะเริ่มใช้งานบางส่วนได้ในปี 2570 โดยท่าเรือเหล่านี้ออกแบบให้รองรับเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ และมีระบบจัดการขนส่งสินค้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
📍สรุป
เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป นอกจากนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น
การกระจายรายได้ที่ไม่ทั่วถึง และการแข่งขันในตลาดแรงงานที่ยังขาดความยืดหยุ่น ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ
การปรับตัวของภาคธุรกิจ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการบริหารจัดการความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเสถียรภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว
ในปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ความได้เปรียบด้านที่ตั้งของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สามารถเชื่อมโยงกับตลาดสำคัญ เช่น อาเซียน จีน อินเดีย และญี่ปุ่น รวมทั้ง โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ สนามบิน และรถไฟความเร็วสูง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและข้อกำหนดใหม่ที่อาจเพิ่มต้นทุนการผลิต ดังนั้นการบริหารจัดการความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกอย่างเหมาะสมจะช่วยรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว
📌ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะเผชิญกับความท้าทายสำคัญที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงใน 4 มิติหลัก ได้แก่ Regionalization (การสร้างภูมิภาค) Digitalization (การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล) Urbanization (การขยายตัวของเมือง) และ Green Transition (การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว) ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศ
1. Regionalization: การรวมกลุ่มในภูมิภาค
การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น อาเซียน และการสร้างห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค (Regional Supply Chain) กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยในอนาคต ประเทศไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากเพื่อนบ้าน
เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งมีการพัฒนาที่รวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ และจีน อาจส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค ทำให้ไทยต้องปรับตัวเพื่อรักษาสมดุลและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในอาเซียน
2. Digitalization: การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกลายเป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT), และ Blockchain จะสร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจ
แต่ในขณะเดียวกัน การปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีเหล่านี้ยังคงเป็นความท้าทายหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ขาดทรัพยากรในการลงทุนและการพัฒนาทักษะแรงงาน นอกจากนี้ การบริหารจัดการด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลยังเป็นปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบดิจิทัล
3. Urbanization: การขยายตัวของเมือง
การขยายตัวของเมือง (Urbanization) ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะที่เพิ่มขึ้นในเมืองใหญ่ เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ พลังงานสะอาด และที่อยู่อาศัย กลายเป็นความท้าทายสำคัญ ในขณะเดียวกัน ความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบทยังคงเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข นอกจากนี้ การบริหารจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การลดมลพิษ การบริหารจัดการขยะ และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เมืองสีเขียว จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
4. Green Transition: การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว
การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ความต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายของข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) จะกดดันให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในไทยต้องปรับตัว การลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม รวมถึงการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน
นอกจากนี้ ประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหภาพยุโรปและสหรัฐฯ มีแนวโน้มบังคับใช้มาตรการทางสิ่งแวดล้อม เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนการส่งออกของไทย ไทยจึงต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวและสร้างแรงจูงใจให้กับธุรกิจในการลงทุนเพื่อปรับตัว
กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศ การปรับตัวอย่างเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ผู้เขียน: วชิราพิมพ์ สมบัติธีระ และ ธนโชติ นนทกะตระกูล, Economist
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
#Bnomics #BBL #BangkokBank #ธนาคารกรุงเทพ
ข่าวรอบโลก
หุ้น
เศรษฐกิจ
1 บันทึก
4
2
1
4
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย