13 ก.พ. เวลา 01:06 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ทองคำพุ่งต่อ หลังตลาด Spot ทะลุ 2,900 ดอลลาร์

แรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หนุนราคาทองคําตลาดโลก-ไทยพุ่งนิวไฮต่อ หลังทะลุแนวต้านสำคัญที่ 2,900 ต่อออนซ์ ท่ามกลางความวิตกกังวลว่า มาตรการภาษีรอบใหม่ของทรัมป์ อาจส่งผลให้เกิดสงครามการค้า แถมทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
ราคาทองคํา Spot ในตลาดโลก พุ่งทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความวิตกกังวลว่า มาตรการภาษีศุลกากรรอบใหม่ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลให้เกิดสงครามการค้าและทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ส่วนทองในประเทศเปิดตลาดพุ่งพรวดนิวไฮ 47,350 บาท
ล่าสุดเช้าวันอังคา ร(11 ก.พ.) ราคาทองคำ Spot ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่แตะบริเวณแถวๆ 2,937 ดอลลาร์ หลังจากสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดี ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับจีน และได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มเติมของเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% จากทุกประเทศ แต่ยังไม่ได้ระบุวันที่จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งถือว่า เป็นการยกระดับการทำสงครามการค้า
ขณะเดียวกันทรัมป์ กำลังพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปเช่นกัน
ขณะที่ราคาทองในประเทศเปิดพุ่งพรวด 750 บาท แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ของทองคำในประเทศทะลุ 47,000 บาท แตะบริเวณ 47,350 บาท หลังจากวันก่อน (10 ก.พ.ค) ทำสถิตินิวไฮติดต่อกันทั้งหมด 13 รอบ ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงสู่บริเวณ 34 บาท แถวๆ 34.07 บาท เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนต่อทองคำในประเทศพุ่งแรงนิวไฮต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
เว็บไซต์ ฮั่วเซ่งเฮงระบุว่า ราคาทองคำโลกขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ สามารถทะลุระดับ 2,900 ดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากนักลงทุนที่ซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความเสี่ยงทางด้านนโยบายภาษีระลอกใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
รวมถึงความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงคอยหนุนราคา ประกอบกับตลาดยังกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนในยุโรป รวมถึงการเลือกตั้งในเยอรมนี ในวันที่ 23 ก.พ.นี้
สภาทองคำโลก (World Gold Council : WGC) ได้เปิดเผยข้อมูลความต้องการทองคำทั่วโลกที่รวมปริมาณการซื้อขายทองคำนอกตลาดหลักทรัพย์ ‎(Over-the-Counter : OTC) ซึ่งได้ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ด้วยจำนวนรวม 4,974 ตัน
โดยประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นตลาดทองคำที่มีความแข็งแกร่งในปี 2567 และมีปริมาณความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ที่จำนวน 39.8 ตัน คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สภาทองคำโลกระบุว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกปี 2567 นั้นได้รับแรงขับเคลื่อนจากการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งของธนาคารกลาง และการเติบโตของความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน ราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้ง
ปริมาณความต้องการที่พุ่งสูงในปีที่ผ่านมา ได้ร่วมกันส่งผลให้ความต้องการทองคำรวมมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำในปริมาณที่มหาศาลอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณการซื้อในระดับสูงกว่า 1,000 ตัน เป็นปีที่สามติดต่อกัน และการเข้าซื้อทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของธนาคารกลางในไตรมาส 4 จำนวน 333 ตัน ได้ส่งผลให้ยอดรวมการซื้อทองคำของธนาคารกลางตลอดทั้งปีอยู่ที่ 1,045 ตัน
ด้านความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ ‎1,180 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 4 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการลงทุนในกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำแท่งสำหรับนักลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567
ทั้งนี้ กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณทองคำจำนวน 19 ตันในไตรมาส 4 ปี 2567
นับว่า เป็นกระแสการลงทุนในทิศทางไหลเข้าต่อเนื่องกันเป็นไตรมาส 2 สำหรับสินทรัพย์ประเภทนี้ ขณะที่ความต้องการในทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกยังคงระดับใกล้เคียงกับปี 2566 อยู่ที่ปริมาณ 1,186 ตัน
สำหรับประเทศไทยความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำในไตรมาส 4 จำนวน 14.6 ตัน เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ทำให้ปริมาณความต้องการรวมตลอดทั้งปี 2567 อยู่ที่ 39.8 ตันเนื่องจากสภาวะราคาทองคำที่พุ่งสูง
สภาทองคำโลกจึง มองว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อความต้องการทองคำเครื่องประดับนั้นเป็นแนวโน้มที่ไม่น่าแปลกใจ โดยปริมาณการบริโภคทองคำเครื่องประดับทั่วโลกสำหรับปี 2567 ได้ลดลง 11% อยู่ที่ระดับ 1,877 ตัน
อย่างไรก็ตาม ความต้องการทองคำเครื่องประดับของไทยยังคงแข็งแกร่งและปรับลดลงเพียง 2% และมีความต้องการรายปีรวมเป็น 9.0 ตัน ขณะที่ความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลกที่ลดลง ส่วนใหญ่มาจากจีน ซึ่งลดลงถึง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ขณะที่อินเดียปริมาณความต้องการที่แข็งแกร่งและลดลงเพียง 2% เท่านั้น ภายใต้สภาวะของราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
“หลุยส์ สตรีต” นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลกกล่าวว่า ทองคำยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปี 2567 โดยราคาทองคำได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 40ครั้งในปีที่ผ่านมา แต่แนวโน้มความต้องการทองคำนั้นไม่ได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี 2567
โดยภาคธนาคารกลางมีความต้องการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1 ก่อนจะชะลอตัวลงในช่วงกลางปี และกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4
ขณะที่นักลงทุนฝั่งตะวันตกได้หันกลับมาสนใจลงทุนในทองคำอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งเมื่อรวมกับกระแสเงินทุนจากฝั่งเอเชียที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ส่งผลให้กระแสการลงทุนในกองทุน ETF ทองคำทั่วโลกปรับทิศทางเป็นเชิงบวกในไตรมาส 3 และ 4 ของปี
ความเคลื่อนไหวนี้มีที่มาจากการที่ธนาคารกลางหลายแห่งได้เริ่มต้นวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงความไม่แน่นอนในระดับโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง
“ในปี 2568 นี้ เราคาดว่า ธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดทองคำต่อไป สนับสนุนด้วยนักลงทุนในกองทุน ETF ทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลง แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังมีความผันผวนก็ตาม”
ในทางกลับกันทองคำเครื่องประดับอาจยังคงชะลอตัวต่อไป เนื่องจากราคาทองคำที่สูงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตามไปด้วย ความไม่แน่นอน
ด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคนั้นน่าจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของปี ซึ่งสภาวะนี้จะช่วยเสริมความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยรักษามูลค่าและเป็นเครื่องมือลดผลกระทบจากความเสี่ยง
โฆษณา