12 ก.พ. เวลา 12:43 • ข่าวรอบโลก

“เป็นไปไม่ได้” รัสเซียจะแลกดินแดนที่ผนวกไว้กับ “เคิร์สก์” ตามที่ยูเครนเสนอ

“เดนมาร์ก” ก็ยังมองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามต่อยุโรปอยู่ถึงแม้สงครามยูเครนจะสงบลง
12 กุมภาพันธ์ 2025: “ดมิทรี เปสคอฟ” โฆษกเครมลินกล่าวในการแถลงข่าวว่า รัสเซียจะไม่หารือเกี่ยวกับประเด็นการแลกเปลี่ยนดินแดนที่รัสเซียได้ยึดไว้ได้ระหว่างการเจรจากับยูเครน ซึ่งเป็นการตอบโต้คำพูดของเซเลนสกีก่อนหน้านี้ที่ว่า ให้แลกเปลี่ยนพื้นที่ส่วนหนึ่งของภูมิภาคเคิร์สก์ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพยูเครน กับพื้นที่ส่วนหนึ่งของยูเครนที่ถูกผนวกเข้ากับรัสเซีย [1]
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ รัสเซียไม่เคยหารือและจะไม่มีทางหารือถึงหัวข้อการแลกเปลี่ยนดินแดนของตน แน่นอนว่าหน่วยทหารของยูเครนจะต้องถูกขับไล่ออกจากดินแดนนี้ (เคิร์สก์)” โฆษกเครมลินกล่าว
เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากวันก่อนนี้ เซเลนสกีให้สัมภาษณ์กับเดอะการ์เดียนว่า หากเกิดการเจรจาสันติภาพกับมอสโก เคียฟจะ “แลกดินแดนหนึ่งกับอีกดินแดนหนึ่ง” เมื่อถูกถามว่าจะขอแลกดินแดนยูเครนที่ถูกรัสเซียยึดไปส่วนใดกับภูมิภาคเคิร์สก์ เซเลนสกีตอบว่า “ผมไม่รู้ เราคงต้องรอดู แต่ดินแดนของเราทั้งหมดมีความสำคัญเท่ากัน ไม่มีอันไหนเหนือหรือต่ำกว่า” [2]
1
เครดิตภาพ: tradoc g2
มาต่อกันที่อีกข่าวหนึ่งที่เกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน หน่วยข่าวกรองต่างประเทศและการทหารของเดนมาร์กได้เผยแพร่รายงานฉบับหนึ่งระบุว่า “รัสเซียยังเป็นภัยคุกคามทางทหารโดยตรงต่อประเทศสมาชิกนาโตในเวลาประมาณ 5 ปีหลังจากสงครามในยูเครนสิ้นสุดลงหรือหยุดชะงัก” [3]
ในเอกสารดังกล่าว หน่วยข่าวกรองของเดนมาร์กได้ประเมินภัยคุกคามทางทหารจากรัสเซียต่อเดนมาร์ก ซึ่งนอกจากเดนมาร์กแล้ว ยังรวมถึงกรีนแลนด์และหมู่เกาะแฟโรด้วย หน่วยข่าวกรองของเดนมาร์กสรุปว่าขณะนี้ยังไม่มีภัยคุกคามจากรัสเซีย แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ภัยคุกคามอาจเพิ่มมากขึ้น
2
ดูเหมือนว่าเดนมาร์กจะไม่มองอเมริกาเป็นภัยคุกคามแล้วหรือ (ในอนาคต)? หลังจากที่ทรัมป์ประกาศอย่างแรงกล้าว่าเอาจริงจะเอา “กรีนแลนด์” ให้ได้ ไม่ว่าด้วยเงินหรือกำลัง ตอนนี้หน่วยข่าวกรองของเดนมาร์กย้อนกลับมามองว่ารัสเซียน่าจะเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขามากกว่า รวมถึงดินแดนโพ้นทะเลอย่างกรีนแลนด์กับหมู่เกาะแฟโร
2
เครดิตภาพ: The Sun
หน่วยข่าวกรองเดนมาร์กเชื่อว่า รัสเซียกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับนาโต “ไม่ได้หมายความว่ามีการตัดสินใจที่จะทำสงครามกับนาโตแล้ว แต่รัสเซียกำลังติดอาวุธให้ตัวเองและสร้างขีดความสามารถเพื่อพร้อมในการตัดสินใจดังกล่าว” รายงานระบุ
รายงานระบุว่า ตั้งแต่ปี 2022 รัสเซียได้ดำเนินการปฏิรูปกองกำลังติดอาวุธในระดับสเกลใหญ่ ในปี 2024 รัสเซียได้ “เปลี่ยนจากการฟื้นฟูเป็นการสร้างศักยภาพทางทหารอย่างเข้มข้นเพื่อให้ได้ความสามารถในการต่อสู้กับกองกำลังนาโตอย่างเท่าเทียม” การสนับสนุนจากจีน เกาหลีเหนือ และอิหร่านช่วยให้รัสเซียสามารถปลดปล่อยทรัพยากรสำหรับการติดอาวุธได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะนี้รัสเซียพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะกระตุ้นให้นาโตสามารถอ้างถึงมาตรา 5 เพื่องัดออกมาใช้เล่นงานรัสเซีย แต่ความเต็มใจของมอสโกที่จะดำเนินการที่เสี่ยงมากขึ้นต่อนาโตอาจเพิ่มขึ้น “หากดุลอำนาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เอื้อต่อรัสเซีย” รายงานระบุว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นหากรัสเซียยังคงสร้างศักยภาพทางทหารต่อไป ในขณะที่ประเทศสมาชิกนาโตไม่ทำเช่นนั้นเหมือนกัน หากรัสเซียมองว่ากลุ่มนาโตอ่อนแอลงและแตกแยก หรือหากเชื่อว่าสหรัฐจะไม่ช่วยเหลือยุโรปแล้ว
ขอบเขตของภัยคุกคามต่อรัสเซียยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในยูเครนด้วย รายงานระบุว่า “ไม่น่าเป็นไปได้ที่รัสเซียจะเปิดสงครามในยูเครนและทำสงครามกับประเทศสมาชิกนาโตหนึ่งประเทศหรือมากกว่านั้นในเวลาเดียวกัน”
รายงานของหน่วยข่าวกรองเดนมาร์กที่ระบุว่ารัสเซียจะเป็นภัยคุกคามต่อเดนมาร์กและยุโรปหลังสงครามในยูเครนสงบลง
ในกรณีที่สงครามยูเครนสิ้นสุดลง หน่วยข่าวกรองของเดนมาร์กเชื่อว่ารัสเซียจะกลับมาสร้างเสริมทรัพยากรทางทหารจำนวนมากขึ้นมาใหม่ได้ และอาจเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อนาโต หากพันธมิตรนาโตไม่เพิ่มศักยภาพทางทหารพร้อมกันไปกับรัสเซีย จะเกิดอะไรขึ้นบ้างดังนี้
3
  • ประมาณหกเดือนหลังสิ้นสุดสงครามในยูเครน รัสเซียอาจเริ่มความขัดแย้งในพื้นที่กับประเทศสมาชิกนาโตประเทศใดประเทศหนึ่ง
  • ในเวลาประมาณสองปี รัสเซียอาจกลายเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อหนึ่งรัฐหรือมากกว่านั้นที่เข้าร่วมนาโต และพร้อมสำหรับสงครามในภูมิภาคกับหลายประเทศในภูมิภาคทะเลบอลติก
  • ในเวลาประมาณห้าปี รัสเซียอาจพร้อมสำหรับสงครามขนาดใหญ่ในทวีปยุโรป โดยมีเงื่อนไขว่าสหรัฐจะไม่เข้าแทรกแซง
1
เมื่อปี 2023 “บอริส พิสตอริอุส” รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนีกล่าวว่าอุตสาหกรรมทางการทหารของกลุ่มประเทศยุโรปมีเวลาประมาณ 5 ถึง 8 ปีในการเพิ่มปริมาณการผลิต นอกจากนี้เขายังเรียกร้องให้พิจารณาอย่างจริงจังถึง “ภัยคุกคามของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียต่อประเทศแถบบอลติก จอร์เจีย และมอลโดวา” [4]
“มาร์ก รุตเต” เลขาธิการนาโตคนปัจจุบันเคยเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปทบทวนการใช้จ่ายเพื่อใช้จ่ายด้านกลาโหมมากขึ้น โดยเขากล่าวว่าประเทศในกลุ่มพันธมิตรจะปลอดภัยในอีก 4-5 ปีข้างหน้า แต่หากการใช้จ่ายด้านกลาโหมไม่เพิ่มขึ้น ชาวยุโรปจะต้อง “เรียนภาษารัสเซียหรือหนีไปอยู่นิวซีแลนด์” นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยังเรียกร้องให้ยุโรปเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมอีกด้วย [5]
2
เรียบเรียงโดย Right Style
12th Feb 2025
  • เชิงอรรถ:
<เครดิตภาพปก: Reuters>
โฆษณา