12 ก.พ. เวลา 23:50 • ครอบครัว & เด็ก

พระเจ้าเลือกใช้คนโง่

2พกษ7:3-9
2 พงศ์กษัตริย์ 7:3-9 TH1971
[3] มีคนโรคเรื้อนสี่คนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง เขาพูดกันว่า <<เราจะนั่งที่นี่จนตายทำไมเล่า [4] ถ้าเราว่า <ให้เราเข้าไปในเมือง การกันดารอาหารก็อยู่ในเมือง และเราก็จะตายที่นั่น และถ้าเรานั่งที่นี่เราก็ตายเหมือนกัน ฉะนั้นจงมาเถิด ให้เราเข้าไปในค่ายของคนซีเรีย ถ้าเขาไว้ชีวิตของเรา เราก็จะรอดตาย ถ้าเขาฆ่าเรา ก็ได้แต่ตายเท่านั้นเอง>>
2 พงศ์กษัตริย์ 7:3-9 TH1971
[3] มีคนโรคเรื้อนสี่คนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง เขาพูดกันว่า <<เราจะนั่งที่นี่จนตายทำไมเล่า [4] ถ้าเราว่า <ให้เราเข้าไปในเมือง การกันดารอาหารก็อยู่ในเมือง และเราก็จะตายที่นั่น และถ้าเรานั่งที่นี่เราก็ตายเหมือนกัน ฉะนั้นจงมาเถิด ให้เราเข้าไปในค่ายของคนซีเรีย ถ้าเขาไว้ชีวิตของเรา เราก็จะรอดตาย ถ้าเขาฆ่าเรา ก็ได้แต่ตายเท่านั้นเอง>>
[5] ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นในเวลาโพล้เพล้ เพื่อจะไปยังค่ายของคนซีเรีย แต่เมื่อเขามาถึงริมค่ายของคนซีเรียแล้ว ดูเถิด ไม่มีใครที่นั่นสักคน [6] เพราะพระเจ้าได้ทรงกระทำให้กองทัพของคนซีเรียได้ ยินเสียงรถรบ เสียงม้า และเสียงกองทัพใหญ่ เขาจึงพูดกันและกันว่า <<ดูเถิด พระราชาแห่งอิสราเอลได้จ้างบรรดา พระราชาแห่งคนฮิตไทต์ และบรรดาพระราชาแห่งอียิปต์มารบเราแล้ว>> [7] เขาจึงลุกขึ้นหนีไปในเวลาโพล้เพล้ และทิ้งเต็นท์ ม้า และลาของเขา ทิ้งเต็นท์ไว้อย่างนั้นเอง และหนีไปเอาชีวิตรอด
[8] และเมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านี้มาถึงที่ริมค่าย เขาก็เข้าไปในเต็นท์หนึ่งกินและดื่ม และขนเงิน ทองคำ และเสื้อผ้าเอาไปซ่อนไว้ แล้วเขาก็กลับมาเข้าไปในอีกเต็นท์หนึ่ง ขนเอาข้าวของออกไปจากที่นั่นด้วยเอาไปซ่อนไว้
[9] แล้วเขาพูดกันและกันว่า <<เราทำไม่ถูกเสียแล้ว วันนี้เป็นวันข่าวดี ถ้าเรานิ่งอยู่ และคอยจนแสงอรุณขึ้นโทษจะตกอยู่กับเรา เพราะฉะนั้นมาเถิด ให้เราไปบอกยังสำนักพระราชวัง>>
สภาพของเมืองสะมาเรียมันอดหยากเลวร้ายมากจนถึงขนาดเอาลูกมาต้มกินได้ ก็มีกษัตริย์มีคนดีคนเก่งหลายคนแต่สุดท้ายพวกเขาไม่ได้รอดเพราะคนเหล่านั้น แต่รอดเพราะคนโรคเรื้อนสี่คนที่พวกเขาเคยขับไล่ออกไปจากเมืองเพราะรังเกียจ
คนบกพร่องโศกเศร้าและหิวกระหายคือคนที่มีความสุข พระคำมัทธิวบอกไว้ พระเจ้าใช้คนเหล่านี้
1 โครินธ์ 1:18-31 TH1971
[18] คนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่พวกเราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า [19] เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความฉลาดของคนฉลาดสูญสิ้นไป
[20] คนมีปัญญาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน บัณฑิตแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน พระเจ้าได้ทรงกระทำปัญญาของโลกให้โฉดเขลาไปแล้ว [21] เพราะตามที่ทรงกำหนดไว้ตามพระสติปัญญาของพระเจ้า โลกไม่รู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน พระเจ้าจึงทรงโปรดช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนาเรื่องโง่ๆ
[22] พวกยิวขอเห็นหมายสำคัญ และพวกกรีกเสาะหาปัญญา [23] แต่พวกเราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น อันเป็นสิ่งที่ให้พวกยิวสะดุด และให้พวกต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องโง่ [24] แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ทั้งพวกยิวและพวกกรีก ต่างถือว่า พระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า [25] เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์
[26] ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง [27] แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย [28] พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ [29] เพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดต่อพระเจ้าได้
[30] โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป [31] เพื่อให้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนว่า ให้ผู้โอ้อวด อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า
อาจารย์ก็สอนแต่ข่าวประเสริฐเพราะเป็นเรื่องของฤทธิ์เดช สอนให้ผู้คนมั่นใจกับสิ่งนี้
2 พงศ์กษัตริย์ 7:1 TH1971
[1] แต่เอลีชาทูลว่า <<ขอฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ ยอดแป้งถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล และข้าวบารลีสองถังเชเขลที่ประตูเมืองสะมาเรีย>>
เสียงนี้ได้ทำให้คนโรคเรื้อนเกิดความหวังที่จะลุกขึ้นพากันก้าวไปหากองทัพซีเรียและได้รับความรอด
เช่นกัน ตอนที่เราทิ้งความคิดตัวเองหันกลับมาสู่พระคำ พระเจ้าก็ทำงานตามนั้นเสมอ
Ex.เคยคุยกับอาจารย์เรื่องบาป ก็ไม่เข้าใจเพราะรู้อยู่แล้วเรื่องการไถ่บาปของพระเยซูทำให้ชอบธรรม ก็อ้างข้อพระคำได้ ก็หลายปีกว่าจะเข้าใจทำไมอาจารย์บอกชอบใช้หัว เพราะมองตัวเองจะพูดตามสถานการตามอารมณ์ไม่ตามพระคำ นี้คือดูหมิ่นกางเขนหรือข่าวประเสริฐ ก็ไม่ได้ต่างจากคนเชื่อพระเจ้าทั่วไป คืออ้างความรู้สึกไม่อ้างพระคำ เชื่อแบบนี้ช่วยชาวสะมาเรียไม่ได้ แต่ผ่านทางคนโรคเรื้อนที่ทำให้ชาวสะมาเรียได้รับความรอด
เช่นกันพระเจ้าเลือกใช้คนที่โลกถือว่าโง่เขลาอ่อนแอ แต่คนมากมายก็ไม่อยากรับสภาพนี้ เพราะติดตามโลกจึงชอบที่จะอวดวัตถุเนื้อหนังความสามารถ ไม่ชอบที่จะอวดความโง่เขลาอ่อนแอของตนแต่สามารถเชื่อวางใจเพียงพระเจ้า ไม่ชอบทางนี้
เยเรมีย์ 9:23-24 TH1971
[23] พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า <<อย่าให้ผู้มีปัญญาอวดในสติปัญญาของตน อย่าให้ชายฉกรรจ์อวดในความเข้มแข็งของตน อย่าให้คนมั่งมีอวดในความมั่งคั่งของตน [24] แต่ให้ผู้อวดอวดในสิ่งนี้ คือในการที่เขาเข้าใจและรู้จักเราว่าเราคือพระเจ้า ทรงสำแดงความรักมั่นคง ความยุติธรรม และความชอบธรรมในโลก เพราะว่าเราพอใจในสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ>>
ผมเองได้มาเริ่มรู้จักกับพระเจ้าตอนอายุสามสิบครับ แต่ก็พึ่งจะมาได้ยินคำสอนแบบนี้จริงๆจากคริสตจักรข่าวประเสริฐตอนอายุสี่สิบสอง และถูกอาจารย์ตักเตือนบ่อยๆว่าผมไม่เชื่อพระคำ ไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนอ่อนแอโง่เขลา ชีวิตในความเชื่อมันจึงยาก ไม่ยอมทิ้งคำสอนผิดที่เคยเรียนรู้มา แม้กระทั้งโบสถ์ที่ผมเคยอยู่มาก่อนหน้า
โบสถ์ที่ผมเคยอยู่ก็สอนแทบไม่ต่างจากปรัชญาหรือศาสนาทั่วไปของโลกนี้ครับคือสอนให้มุ่งทำคุณงามความดี แต่พระเจ้าหรือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้สอนมุ่งให้ทำแบบนั้น เพราะมนุษย์ไม่สามารถจะทำดีได้จริง แต่พระเจ้ากำลังสอนให้เชื่อวางใจพระเจ้าครับ
แต่คำสอนเหล่านั้นมันส่วผลกระทบมากต่อชีวิตของผมมาจนถึงปัจจุบันครับ ไม่สามารถจะทิ้งได้ง่ายๆ ดั่งที่คิด เพราะมันติดมันชินไปแล้วครับ ใครที่มีนิสัยติดอะไรบางอย่างน่าจะเข้าใจง่าย พอถึงเวลามันก็จะทำเช่นกินข้าวเสร็จจะต้องดูดบุหรี่หรือเลิกงานแล้วจะต้องกินเหล้าฯลฯ
ผมติดใช้สติปัญญาหรือความรู้ประสบการเดิมๆ ครับ ทิ้งยากมาก พอเจอสถานการจริง มันทิ้งพระคำพระเจ้าไปตามความคิดตามอารมณ์ไปอย่างง่ายๆเลยครับ ก็ได้เจอกับคริสตจักรมาก็สิบแปดปีแล้ว แต่ก็ยังทิ้งยาก ยังตามความคิดตัวเองแบบง่ายๆ ถูกคนรอบข้างในคริสคจักรตักเตือนเรื่องนี้บ่อยมากเลยครับ
บ่อยครั้งรู้สึกท้อแท้จนอยากจะเลิกติดตามพระเจ้า กลับออกไปใช้ชีวิตตามวิถีทางโลกไปเลยจะดีกว่าไหม? แต่ก็จะมีอาจารย์ ภรรยาลูกหรือสมาชิกหลายคนที่คอยช่วยยับยั้งเอาไว้ไม่ให้ก้าวออกไปได้โดยง่าย และพอได้หันกลับมาคิดปัญหาจริงๆ คือการที่ผมไม่เชื่อพระคำจริงๆ ครับ ไม่เชื่อว่าตัวเองนั้นอ่อนแอและโง่เขลาตามที่พระคำพระเจ้าบอก ถ้าเชื่อว่าตัวเองนั้นโง่เขลาอ่อนแอจริงการถูกก้าวก่ายตักเตือนบ่อยๆ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เหมือนเด็กเล็กที่ต้องมีพ่อแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด กับโลกฝ่ายวิญญาณมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ได้รู้อะไรเลย
แต่เพราะผมกำลังถูกมารซาตานหลอกบ่อยๆ เรื่องนี้ครับ ให้ออกไปจากคริสตจักรจะได้ไม่ต้องมีใครมาคอยก้าวก่ายชีวิต จะทำตามใจอะไรก็ได้ คือมารกำลังหลอกให้เชื่อว่าสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีคริสตจักร เชื่อพระเจ้าได้เองโดยไม่ต้องมีคนของพระเจ้าเป็นโค้ชคอยช่วยเหลือ เขาก็หลอกผมเรื่องนี้บ่อยมากและผมก็ถูกหลอกเรื่องเดิมนี้ตลอด
ผมก็มีใจที่อยากจะเป็นคนที่มีความเชื่อเยอะแบบอาจารย์หลายคนครับ ในใจจึงมีคำบ่นเยอะที่มันไม่สามารถจะเป็นได้ดั่งใจ แต่ได้ฟังพระคำตอนนี้ก็ลองคิดลึกๆ ดู ผมเห็นว่าปัญหาของผมคือการไม่วางชีวิตไว้กับพระเจ้าครับ ยังมีความโลภอยากได้อยากเป็นเยอะ กำลังตามความคิดที่มารซาตานให้ แต่ความจริงกับพระเยซูที่พระเจ้าให้มายังมนุษย์ทุกคนมันเพียงพอแล้ว ถ้าผมเชื่อความจริงนี้มารซาตานก็หลอกอีกต่อไปไม่ได้
กับวันเวลาที่เหลือก็เรียนรู้จากพระคำจากคริสตจักรว่าพระเจ้ากำลังทำอะไรให้ ไม่ต้องไปดิ้นรนพยายามจะได้จะเป็นอะไรเพิ่มเข้ามาอีกแล้ว ความจริงควรจะเป็นแบบนี้ครับ ก็ควรจะขอบคุณกับการเป็นคนโง่ที่มีคริสตจักรคอยดูแล ไม่ใช่คาดหวังแต่จะไม่อ่อนแอ ไม่ผิดพลาด ไม่ถูกตักเตือนแบบที่มารซาตานมันหลอกอยู่ตลอดเวลา
ถ้าไม่มีคริสตจักรคอยดูแลนี้ต่างหากที่จะกลายเป็นปัญหา ก็พึ่งได้ฟังพระคำเรื่องของเมฟีโบเชทมาย้ำอีก ดาวิดก็เอาเขามาเลี้ยงเป็นลูกเลย ถึงแม้เขาจะเป็นง่อยซึ่งปกติดาวิดจะรังเกียจ แต่เพราะเห็นแก่โยนาทานเพื่อนสนิท พ่อของเมฟีโบเชท
พระเจ้าก็รักและยอมรับกับมนุษย์ทุกคน ถึงแม้มนุษย์จะสกปรกชั่วร้ายน่ารังเกียจ แต่เพราะเห็นแก่สิ่งที่พระเยซูทำให้แก่มนุษย์คือยอมตายบนกางเขน จึงทำให้พระเจ้าได้แต่ต้องยอมรับและรับผิดชอบกับมนุษย์ในฐานะลูกรัก
ถ้าเมฟีโบเชทเขามั่นใจความรักแบบนี้ในดาวิด วันที่ดาวิดกลับมาหลังเอาชนะอับซาโลมที่กบฏ เขาก็ควรจะตอบได้อย่างมั่นใจว่าเขาไปไม่ได้ถ้าดาวิดไม่พาไป เพราะเขาเป็นง่อย แต่พยายามจะแสดงความตั้งใจออกมาให้ดาวิดเห็นว่าเขาพยายามจะติดตามไปแต่ติดปัญหาที่ศิบาไม่ร่วมมือ หมายความว่าเขาไม่ได้เชื่อว่าดาวิดยอมรับได้กับสภาะง่อยของเขาจริงๆ ติดตามไปไม่ได้จริงๆ
ผมกำลังหันกลับมามองที่ตัวเองครับว่าสิบแปดปีมานี้ ที่ผมได้มาอยู่ในคริสตจักรตอนนี้เป็นได้โดยพระคุณพระเจ้าเท่านั้นผมเชื่อไหม? ก็เลี้ยงดูด้วย หาภรรยาให้ด้วย ให้เป็นผู้เผยแพร่ฯด้วย แต่มองจิตใจตัวเอง...
หลายปีที่ผ่านมามันเห็นตัวเองใช้ชีวิตเหมือนเมฟีโบเชทครับ คือยังไม่สามารถเชื่อได้ว่าอาจารย์สามารถยอมรับกับสภาพผมที่ไร้ความสามารถได้จริงๆ มันทำให้ผมอาศัยอยู่กับคริสตจักรด้วยความพยายามตั้งใจจะสร้างผลงาน เพื่อให้คริสตจักรเห็นว่าผมเป็นคนที่ยังใช้การได้ ยังมีประโยชน์อยู่นะ แต่พอทำออกมาแล้วมันผิดพลาดหรือถูกตำหนิว่ากล่าวก็จะตั้งใจแก้ตัวใหม่ ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมเป็นคนที่หมดสภาพใช้การอะไรไม่ได้แล้ว ต้องทิ้งแล้ว
ขึ้นมาครั้งนี้อาจารย์หลายคนก็ย้ำเตือนเรื่องนี้อีก พูดว่าบ่อยเลย ผมก็คิดใคร่ครวญว่าคงถึงเวลาที่จะต้องยอมแพ้หรือวางมือแล้วจริงๆ วางมือกันยังไงนะ? เพราะไม่เคยเลย ก็ต้องหันมาเรียนรู้จากคริสตจักรหรือกับบรรดาคนของพระเจ้านี้ครับ คือจากที่เคยเชื่อในความคิดตัวเองก็หันมาฟังมาตามกับคนของคริสตจักรแทน
อิสยาห์ 55:7-9 TH1971
[7] ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา ให้เขากลับยังพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงกรุณาเขา และยังพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ [8] เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา>> พระเจ้าตรัสดังนี้ [9] <<เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น>>
ก็เลยทำให้ได้คิดถึงและเกิดความหวังกับพระคำสามข้อนี้ขึ้นมาแบบนี้ครับ
โฆษณา