13 ก.พ. เวลา 01:53 • การศึกษา

การเรียนรู้ไม่ใช่การแข่งขัน: วิธีสนับสนุนนักเรียนที่เรียนรู้ช้ากว่า

ในห้องเรียนเดียวกัน นักเรียนแต่ละคนมีจังหวะการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน บางคนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางคนอาจต้องใช้เวลามากขึ้น สิ่งสำคัญที่ครูต้องตระหนักคือ การเรียนรู้ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนรู้ช้ากว่าเพื่อนจึงไม่ใช่การเร่งให้พวกเขาต้องตามทัน แต่เป็นการออกแบบแนวทางการสอนที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของแต่ละคน เพื่อให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นใจในศักยภาพของตนเอง
นักเรียนที่เรียนรู้ช้ากว่าเพื่อนอาจได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ความต้องการพิเศษของนักเรียน (Special Needs) และ 2) ความพร้อมของนักเรียน (Student Readiness) มีการศึกษาที่พบว่าปัจจัยด้านความพร้อมของนักเรียน รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น สถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวที่ส่งผลต่อโอกาสในการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ โภชนาการที่ดี และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการศึกษา
นอกจากนี้ ปัจจัยทางอารมณ์และจิตใจ เช่น ระดับความเครียดในครอบครัวหรือปัญหาทางสุขภาพจิต ก็ส่งผลต่อความสามารถในการจดจ่อและประมวลผลข้อมูลของนักเรียน
ในขณะเดียวกัน ความต้องการพิเศษของนักเรียน ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities) อาจต้องการเวลามากขึ้นในการประมวลผลข้อมูลและฝึกทักษะพื้นฐาน นอกจากนี้ นักเรียนที่มีภาวะออทิซึม (Autism Spectrum Disorder) หรือสมาธิสั้น (ADHD) อาจพบความอุปสรรคในการจดจ่อและการจัดการตนเองในห้องเรียน หากไม่มีการสนับสนุนที่เหมาะสม นักเรียนกลุ่มนี้อาจรู้สึกกดดันและสูญเสียความมั่นใจ ส่งผลให้พวกเขาเรียนรู้ได้ช้ากว่าคนอื่นในห้องเรียน
แนวทางให้ความช่วยเหลือ
1) การปรับวิธีการสอน นักเรียนที่เรียนรู้ช้ากว่ามักต้องการเวลาและรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างจากเพื่อนร่วมชั้น ผู้สอนจึงควร ออกแบบการสอนให้หลากหลาย โดยใช้ สื่อภาพ สื่อเสียง และกิจกรรมเชิงปฏิบัติ เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น งานวิจัยของ Mayer และ Moreno (2005) ระบุว่า การใช้มัลติมีเดีย เช่น ภาพ เสียง และข้อความร่วมกัน สามารถช่วยให้นักเรียนเข้าใจและจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น
ตัวอย่างหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพ คือ การใช้การคิดด้วยภาพ (Visual Thinking) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยให้นักเรียนมองเห็นโครงสร้างของข้อมูลแทนที่จะต้องอาศัยการท่องจำเพียงอย่างเดียว การแสดงแนวคิดเป็นภาพ เช่น การใช้ Mind Maps, Infographics หรือ Storyboarding ทำให้นักเรียนสามารถ เชื่อมโยงข้อมูล ได้ดีขึ้น ลดความซับซ้อนของเนื้อหา และทำให้กระบวนการเรียนรู้เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ
2) การปรับสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้นักเรียนที่เรียนรู้ช้าสามารถพัฒนาได้อย่างมั่นใจ ผู้สอนควร ลดแรงกดดันจากการเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมชั้น และใช้การให้กำลังใจเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ นอกจากนี้ เทคโนโลยีการศึกษา สามารถเป็นเครื่องมือช่วยเสริมที่สำคัญ
เช่น แอปพลิเคชันช่วยฝึกฝนทักษะที่ช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างสนุกสนาน หรือโปรแกรมที่ช่วยจัดการเวลาและงาน เช่น Google Calendar หรือ Trello ช่วยให้นักเรียนมีโครงสร้างในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการจัดการตนเอง
สิ่งที่ครูจะต้องให้ความสำคัญก็คือช่วงเวลา การใช้ตารางเรียนแบบยืดหยุ่น โดยแบ่งเนื้อหาเป็นช่วงสั้น ๆ และให้เวลาพักระหว่างการเรียน ช่วยให้นักเรียนมีสมาธิมากขึ้น ครูหลายคนอัดการสอนแบบต่อเนื่อง โดยลืมคำนึงถึงธรรมชาติของนักเรียนในปัจจุบันที่ตั้งสมาธิจดจ่อได้ยากขึ้น
3) การสนับสนุนด้านอารมณ์และพฤติกรรม นักเรียนที่เรียนรู้ช้ากว่ามักเผชิญกับ ความเครียด ความกังวล และความรู้สึกด้อยค่า เนื่องจากไม่สามารถทำได้เท่ากับเพื่อนร่วมชั้น งานวิจัยของ Ramirez และคณะ (2018) พบว่า ความวิตกกังวลทางการเรียน มีผลกระทบต่อความสามารถในการจดจำข้อมูลและความสำเร็จทางการศึกษา นักเรียนบางคนอาจมีประสบการณ์เชิงลบกับการเรียนรู้ในอดีต ทำให้เกิดความกลัวความล้มเหลวและหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในห้องเรียน
ดังนั้น การช่วยให้นักเรียนรู้สึกปลอดภัยทางจิตใจ เป็นสิ่งสำคัญ วิธีที่สามารถนำมาใช้ ได้แก่ การสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ให้กำลังใจ (Positive Learning Community) โดยให้เพื่อนร่วมชั้นช่วยกันสนับสนุนซึ่งกันและกัน การใช้เทคนิคการปรับกรอบความคิด เช่น การสอนให้เห็นว่า "ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้" และส่งเสริม Growth Mindset และการใช้กิจกรรมทางอารมณ์ เช่น การสอนให้รู้จักและบริหารอารมณ์ผ่านกิจกรรมสมาธิ (Mindfulness) รวมไปถึงการเขียนบันทึกสะท้อนความรู้สึก
การเรียนรู้ไม่ใช่เส้นทางที่ทุกคนต้องเดินไปด้วยความเร็วเท่ากัน และการเป็น "ผู้เรียนช้า" ไม่ได้หมายความว่านักเรียนเหล่านั้นจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ ทุกคนมีศักยภาพในแบบของตัวเอง รอเพียงการสนับสนุนที่เหมาะสมจากครู เพื่อนร่วมชั้น และสภาพแวดล้อมที่เข้าใจพวกเขา
หากเราสามารถสร้างห้องเรียนที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเติบโตในจังหวะของตนเอง ปราศจากแรงกดดันและความรู้สึกด้อยค่า นักเรียนที่เคยรู้สึกว่า "ฉันไม่เก่งพอ" อาจค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ และก้าวข้ามข้อจำกัดที่เคยขวางกั้นพวกเขาไว้ได้ บางครั้ง สิ่งที่นักเรียนต้องการอาจไม่ใช่คำว่า "เร็วขึ้น" แต่เป็นคำว่า "ฉันเชื่อในตัวเธอ"
เพราะสุดท้ายแล้วเป้าหมายของการศึกษาไม่ใช่แค่ทำให้นักเรียนเก่งขึ้น แต่คือการทำให้พวกเขาเชื่อว่า พวกเขาก็สามารถเรียนรู้และเติบโตได้ในแบบของตัวเอง
อ้างอิง
Masten, A. S., & Barnes, A. J. (2018). Resilience in children: Developmental perspectives. Children, 5(7), 98.
Mayer, R., & Moreno, R. (2005). A cognitive theory of multimedia learning: Implications for design principles. Journal of Educational Psycholog. 91(2):1-12. https://www.researchgate.net/publication/248528255_A_Cognitive_Theory_of_Multimedia_Learning_Implications_for_Design_Principles
Ramirez, G., Gunderson, E. A., Levine, S. C., & Beilock, S. L. (2018). Mathematics anxiety, working memory, and mathematics achievement in early elementary school. Journal of Cognition and Development, 19(1), 1-13.
UNESCO. (2021). Global education monitoring report 2021: Non-state actors in education. UNESCO Publishing.
โฆษณา