13 ก.พ. เวลา 04:22 • ศิลปะ & ออกแบบ

เฮนรี่ ดาร์เกอร์ ภารโรงผู้สร้างงานศิลป์ก้องโลก

เฮนรี่ ดาร์เกอร์ (Henry Darger) ไม่ได้เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในยุคที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง หรือถูกยอมรับจากคนในสังคม เขาเป็นเพียงภารโรงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งไม่มีใครรู้จัก และไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำว่าชายคนนี้คือใคร มีรากเหง้ามาจากไหน มีความเป็นอยู่อย่างไร
แต่ถึงกระนั้นสายตาซึ่งผู้คนมองเขาด้วยความปกติธรรมดาก็ไม่ได้ทำให้ดาร์เกอร์รู้สึกว่าตนเองต้อยต่ำแต่อย่างใด เขามีความสุขกับความธรรมดาที่โลกมอบให้ และยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีก เมื่อได้ใช้เวลาหลังเลิกงานเกือบทั้งชีวิต คลุกตัวเพียงลำพังในห้องอันเล็กแคบ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่มีได้เห็น นอกจากตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
.
ตามแหล่งข้อมูล (เท่าที่หาได้) เฮนรี่ ดาร์เกอร์ เกิดเมื่อ วันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1892 ในเมืองชิคาโก (Chicago) รัฐอิลลินอยส์ (Illinois) ในยุคที่อเมริกาเกิดการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ เขาเป็นบุตรของเฮนรี่ ดาร์เกอร์ ซีเนียร์ (Henry Darger Sr.)บิดาซึ่งเป็นผู้อพยพชาวเยอรมัน กับโรซ่า ฟูลแมน (Rosa Fullman) มารดาผู้เสียชีวิตอย่างรวดเร็วด้วยอาการไข้หลังคลอดลูกสาว ซึ่งขณะนั้นดาร์เกอร์มีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น
.
ดาร์เกอร์จึงมีช่วงเวลาวัยเด็กที่ค่อนข้างหดหู่เป็นอย่างมาก เนื่องจากเฮนรี่ ดาร์เกอร์ ซีเนียร์ บิดาของเขาเป็นผู้มีความบกพร่องทางสติปัญญา และค่อนข้างเป็นคนขี้เหล้าเมายา แต่ถึงกระนั้นบิดาก็พยายามเลี้ยงดูดาร์เกอร์เป็นอย่างดี เขาส่งเสริมให้ดาร์เกอร์เข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่ด้วยความยากจน ดาร์เกอร์จึงถูกส่งไปยังบ้านพักคนไร้บ้านของโรมันคาธอลิกที่ชื่อว่า Mission of Our Lady of Mercy (ปัจจุบันคือ Mercy Home) ทำให้ดาร์เกอร์มีความรู้สึกเหมือนถูกครอบครัวทอดทิ้ง และส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาอย่างรุนแรง
.
ด้วยความเป็นเด็กค่อนข้างเงียบขรึม ชอบเก็บตัว มีร่างกายไม่สมบูรณ์มากนัก ดาร์เกอร์จึงมักถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำ สิ่งนี้ทำให้เขากลายเป็นเด็กมีปัญหาเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น มันเริ่มส่งผลต่อพฤติกรรมอันไม่ปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาถูกส่งไปยังในสถานสงเคราะห์อีกหลายแห่งของรัฐอิลลินอยส์ รวมถึงถูกย้ายให้ทำการรักษาอาการทางจิตควบคู่ไปด้วย ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดสำหรับดาร์เกอร์ เขาพยายามหลบหนีออกมาถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกหลบหนีด้วยรถไฟบรรทุกสินค้า แต่ถูกตำรวจขัดขวางและจับกุมไว้ได้ก่อน เขาจึงพยายามหลบหนีอีกครั้ง ในปี 1909 คราวนี้จึงสำเร็จ
.
ชีวิตวัยหนุ่มของดาร์เกอร์ไม่ต่างจากชาวอเมริกันชนระดับรากหญ้าทั่วไปในยุคสมัยนั้น แต่โชคดีที่เขามีโอกาสได้เข้าทำงานเป็นภารโรงประจำโรงพยาบาลหลายแห่งของเมืองชิคาโก เช่น โรงพยาบาลเซนต์โจเซฟ, โรงพยาบาลแกรนท์ และโรงพยาบาลอเล็กเซียนบราเธอร์ส จึงทำให้ดาร์เกอร์ยังพอมีเงินหล่อเลี้ยงตัวเองได้บ้าง...แม้ว่าในบางเดือนมันจะไม่พอใช้ก็เถอะ!
.
ในปี 1932 เขาเช่าห้องเล็ก ๆ อยู่ในย่านลินคอล์นพาร์ค และใช้เวลาอยู่ที่นั่นกว่า 40 ปี ซึ่งภายในห้องแห่งนี้ดาร์เกอร์ทุ่มเทเวลาเกือบทั้งชีวิตสร้างงานศิลปะอยู่เงียบ ๆ โดยไม่เปิดเผยให้ใครได้รับรู้
.
ผลงานของดาร์เกอร์ส่วนใหญ่มักบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของกลุ่มเด็กที่มีพฤติกรรมซับซ้อน โดยมีผลงานชิ้นเอกอย่างเรื่อง “In the Realms of the Unreal” ซึ่งมีขนาดความยาวมากถึง 15,145 หน้า เขาเข้าเล่มเป็นหนังสือขนาดใหญ่ถึง 15 เล่ม พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดอย่างหนาแน่น (โดยมี 3 เล่มประกอบด้วยภาพประกอบหลายร้อยภาพ ทั้งภาพวาดสีน้ำ บนแบบม้วนกระดาษที่ได้มาจากนิตยสาร กับสมุดระบายสี)
ซึ่งคาดกันว่าเขาใช้เวลากว่า 6 ทศวรรษ ในการวาดภาพประกอบเรื่องราวนี้ขึ้นมา ด้วยเทคนิคการร่างภาพที่ตัดมาจากนิตยสาร แล้วจัดเรียงเป็นทิวทัศน์กว้างใหญ่ วาดด้วยสีน้ำ บางภาพมีขนาดใหญ่ถึง 30 ฟุตทั้งสองด้าน ซึ่งบางครั้งก็จะได้เห็นเขาเขียนตัวเองลงในเรื่องราวในฐานะผู้พิทักษ์เด็ก ๆ อีกด้วย
.
อีกหนึ่งผลงานที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือเรื่อง “The Story of the Vivian Girls” เป็นเรื่องราวการผจญภัยของเด็กหญิงวิเวียนกับเจ้าหญิงทั้งเจ็ดของคริสเตียนนิกาย Abbieannia ที่ต้องจับดาบลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง
.
ซึ่งผลงานของดาร์เกอร์ทุกชิ้น ถูกค้นพบก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเพียงไม่นาน โดยนาธาน เลอร์เนอร์ (Nathan Lerner) ซึ่งเป็นเจ้าของห้องพักที่เขาอาศัยอยู่ และยังเป็นช่างภาพมากฝีมือของ The New York Times เลอร์เนอร์เล่าว่า ในปี 1969 ดาร์เกอร์มีอาการเจ็บปวดเรื้อรังจากการถูกรถชนเข้าอย่างจัง ดังนั้นการเดินขึ้น-ลงบันไดไปยังห้องพักจึงทำได้ยากขึ้น
เขาต้องย้ายไปอยู่บ้านพักคนชราด้วยความจำเป็น และในช่วงเวลานี้เองที่เลอร์เนอร์ได้ขึ้นไปจัดห้องให้เรียบร้อยตามปกติ แต่เขากลับค้นพบชิ้นงานศิลปะจากเศษซากกระป๋องที่ไม่สมบูรณ์ รวมถึงแผ่นกระดาษยับยู่ยี่ เปรอะด้วยน้ำหมึก กับแผ่นสีที่กระจัดกระจายระเกะระกะไปทั่วห้อง
.
เมื่อเลอร์เนอร์ได้เห็นผลงานศิลปะเหล่านั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงคุณค่าของมันทันที จึงรีบโทรหาดาร์เกอร์เพื่อถามว่าจะให้ทำอย่างไรกับผลงานเหล่านี้...ดาร์เกอร์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
.
“ตามใจนายเถอะ!...หรือไม่ก็เอาไปเผาทิ้งสะให้หมด!”
.
แน่นอนว่าด้วยมุมมองของเลอร์เนอร์ ซึ่งเป็นช่างภาพมืออาชีพ เขาย่อมไม่อาจตัดใจนำผลงานเหล่านั้นไปเผาทิ้งได้ลงคอ จึงรับอาสาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ผลงานของดาร์เกอร์ แล้วจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านอเมริกันในนิวยอร์กซิตี้ ซึ่งตั้งชื่อศูนย์ศึกษาตามชื่อของดาร์เกอร์ นับจากนั้นเป็นต้นมา โลกจึงได้รู้จักชื่อของเฮนรี่ ดาร์เกอร์ ภารโรงลึกลับ ผู้สร้างงานศิลป์ก้องโลก
.
เฮนรี่ ดาร์เกอร์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 เมษายน 1973 หรือหนึ่งวันหลังจากวันเกิดปีที่ 81 พอดี ร่างของเขาถูกฝั่งอยู่ที่สุสานออลเซนต์สในเมืองเดสเพลนส์ รัฐอิลลินอยส์ ในหมู่ผู้สูงอายุแห่งกลุ่มซิสเตอร์ตัวน้อยผู้ยากจน โดยบนแผ่นศิลาจารึกระบุว่า "ศิลปิน" และ "ผู้ปกป้องเด็ก"
.
งานของดาร์เกอร์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อตัวของเขาเอง ไม่ใช่เพราะชื่อเสียงเงินทอง เห็นได้จากที่เขาไม่เคยเผยแพร่ผลงานของตัวเองที่ไหนเลย ซึ่งสะท้อนแนวคิดปรัชญาแบบอัตถิภาวนิยม ที่เชื่อว่าความหมายของชีวิต คือสิ่งที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาเอง ดังคำกล่าวของฟรีดริช นีทเชอ (Friedrich Wilhelm Nietzsche) นักปรัชญาชาวเยอรมัน ที่กล่าวไว้ว่า
.
“มนุษย์ต้องสร้างความหมายของตัวเองแทนที่จะรอให้มีใครมากำหนดให้เราเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ”
.
ดาร์เกอร์จึงอาจสร้างโลกของเขาขึ้นมาเพื่อเป็นคำตอบของชีวิตที่ว่างเปล่าก็เป็นได้
.
อย่างไรก็ดีผลงานของดาร์เกอร์แสดงออกจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องการการยอมรับจากสังคมภายนอก เขาเป็นตัวอย่างของศิลปินที่สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์สามารถสร้างความหมายให้กับตัวเองผ่านจินตนาการ และงานศิลปะได้อย่างลงตัว
.
ดาร์เกอร์คือผู้ที่เปลี่ยนความโดดเดี่ยวให้กลายเป็นแรงบันดาลใจได้ ด้วยความทุ่มเทอันบริสุทธิ์นี้ แม้ว่าดาร์เกอร์จะไม่มีเจตนาอยากเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ แต่ผลของความพยายามนั้นงดงามเสมอ สิ่งนี้เป็นข้อยื่นยันชัดเจนว่า หากเรามุ่งมั่นให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค สักวันมันจะตอบแทนเราอย่างคุ้มค่า
.
แม้ว่าดาร์เกอร์จะจากโลกนี้ไปอย่างโดดเดี่ยว แต่ผลงานที่เขาเพียรสร้างมาตลอดทั้งชีวิต ยังคงอยู่เป็นประจักแก่สายตาของผู้คน ไปอีกนานแสนนาน
.
ผู้เขียน : ณัฐพงศ์ อินต๊ะริด
.
Refer:
.
#สำนักคิด #ปรัชญาศาสตร์ #ปรัชญา #ศิลปะ #ศิลปิน #สันโดษ #แรงบันดานใจ #แนวคิด #อัตถิภาวนิยม
โฆษณา