13 ก.พ. เวลา 05:02 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ไทยจะเป็นศูนย์กลางการเงินได้หรือไม่? ออกกฎหมายอย่างเดียวพอไหม? ต้องทำอะไรเพิ่มอีก?

ประเทศไทยกำลังพยายามเดินหน้าสู่การเป็น “ศูนย์กลางการเงิน” เมื่อรัฐบาลอนุมัติ ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน ซึ่งออกแบบมาเพื่อดึงดูดสถาบันการเงินระดับโลกให้เข้ามาตั้งฐานธุรกิจในไทย โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ผ่อนคลายกฎระเบียบ และ เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจการเงินได้ง่ายขึ้น
แต่ถึงแม้จะมีเป้าหมายที่ชัดเจน และเป็นการเริ่มต้นที่น่าสนใจ แต่กฎหมายนี้อาจจะยังไปไม่สุด เพราะยังจำกัดขอบเขตการให้บริการของสถาบันการเงินต่างชาติ โดยอนุญาตให้ให้บริการกับคนต่างด้าวที่อยู่ในไทย หรือขายผลิตภัณฑ์ผ่านผู้ประกอบการไทย เท่านั้น ยังไม่สามารถให้บริการคนไทยโดยตรง
และมีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าการตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมา คือ “สำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลศูนย์กลางการเงิน” ซึ่งอาจจะนำไปสู่การตั้งคำถามถึงอำนาจ ดุลยพินิจ และความสัมพันธ์กับผู้กำกับเดิม และอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ การหลบเลี่ยงการกำกับภายใต้เกณฑ์ปัจจุบัน และความไม่แน่นอนในการบังคับใช้กฎหมายได้
นอกจากนี้แล้ว ยังมีหลายประเด็นที่น่าชวนคิดกันว่าเราควรต้องปรับอะไรอีกเพื่อจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินได้จริงๆ
  • ระบบกฎหมายต้องเป็นธรรมและโปร่งใส
ศูนย์กลางการเงินที่แท้จริง ไม่ใช่แค่สถานที่ที่มีธุรกิจการเงินมาตั้งอยู่ แต่ต้องเป็นระบบที่สามารถจัดการกับความไม่แน่นอนและข้อขัดแย้งทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะธุรกรรมทางการเงิน ไม่ใช่แค่การซื้อขาย แต่ที่สำคัญคือการตกลง “ผลตอบแทน” (payoff) ในกรณีที่อนาคตไม่เป็นไปตามที่คาด และมีการปกป้องสิทธิของของมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรม
เมื่อนักลงทุนปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดวิกฤติ หนี้กลายเป็นหนี้เสีย หรือเกิดข้อพิพาททางธุรกิจขึ้น สิ่งสำคัญคือ ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมต้องจัดการเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม
ถ้าสินทรัพย์ไม่พอจ่ายเจ้าหนี้ ใครจะมีสิทธิในทรัพย์นั้นก่อน และกลไกดูแลการฟื้นฟูกิจการควรเป็นอย่างไร
ฮ่องกงและสิงคโปร์เข้าใจเรื่องนี้ดี จึงมีศาลพาณิชย์ และศาลการเงินเฉพาะทาง ที่สามารถตัดสินคดีทางธุรกิจและการเงินได้อย่างรวดเร็วและน่าเชื่อถือ แต่ไทยยังมีข้อกังขาต่อระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ที่ยังล่าช้าและอาจมีความไม่แน่นอนในหลักการพิจารณาคดี และการบังคับคดี
มีข้อสังเกตว่า หลายครั้งศาลไทยไม่ยอมรับคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการแม้เป็นกลไกที่ทั่วโลกให้ความยอมรับ ทำให้สถาบันการเงินและนักลงทุนอาจจะลังเลที่จะใช้ไทยเป็นฐานทำธุรกิจ
ถ้าธุรกิจต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อฟ้องร้องลูกหนี้ หรือบังคับใช้สัญญาไม่ได้จริง คงไม่มีใครอยากทำธุรกิจการเงินในประเทศนั้น และถ้าระบบยุติธรรมของไทยยังทำให้คนทั่วไปเคลือบแคลงสงสัยว่า อาจถูกแทรกแซงหรือมีความไม่เป็นธรรม ไทยก็คงเป็นศูนย์กลางทางการเงินได้ลำบาก
  • การแข่งขันและกฎระเบียบที่สมดุล
แม้กฎหมายนี้ช่วยให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจการเงินได้มากขึ้น แต่การเปิดเสรีต้องมาพร้อมกับระบบกำกับดูแลที่สมดุล และเท่าทันต่อความเสี่ยงรูปแบบใหม่ๆ เพราะถ้าปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาแบบไม่มีมาตรการควบคุม หรือใช้เป็นช่องทางในการหลบเลี่ยงการกำกับดูแล อาจเกิดความเสี่ยงต่อระบบการเงิน
ไอซ์แลนด์เคยเปิดเสรีภาคการเงินแบบสุดขั้ว ทำให้ธนาคารต่างชาติไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเกิดวิกฤติการเงินปี 2008 ระบบการเงินของประเทศล่มสลายเพราะ ไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่ดีพอ ในทางตรงกันข้าม สิงคโปร์และฮ่องกงเปิดเสรีอย่างมีระบบ กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนเพื่อให้แน่ใจว่า ธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาจะเสริมสร้างระบบการเงินของประเทศ แทนที่จะมาสร้างความเสี่ยงแล้วจากไป
การมีกลไกกำกับดูแลที่เข้มแข็ง ไม่ใช่แค่ปิดกั้นการแข่งขันเพื่อปกป้องธุรกิจไทย แต่ต้องสร้างมาตรฐานสูงขึ้นเพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันได้อย่างแท้จริง เราอาจใช้โอกาสนี้ในการวางแผนการเปิดเสรีภาคการเงินเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสถาบันการเงินไทย ทำให้คนไทยได้บริการทางการเงินที่ดีขึ้น และพัฒนาการกำกับดูแลให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
  • ค่าเงินและการเคลื่อนย้ายเงินทุน
นอกจากเรื่องกฎหมายและกฎระเบียบแล้ว ระบบค่าเงินและการเคลื่อนย้ายเงินทุน ก็เป็นปัจจัยสำคัญ
ทุกวันนี้ คนไทยที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายอย่าง ส่วนธุรกิจต่างชาติที่อยากลงทุนในไทยก็ต้องเจอกับกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อน เพราะเรายังคงกังวลเรื่องเสถียรภาพของค่าเงิน และอยากควบคุมเงินทุนไหลเข้าออก (แม้ว่าจะมีการผ่อนคล้ายมาโดยตลอด) ในขณะที่ศูนย์กลางทางการเงินอื่นๆ มีระบบอื่นในการควบคุมค่าเงิน (เช่น ฮ่องกงใช้ระบบ currency board และสิงคโปร์ใช้ค่าเงินเป็นเครื่องมือเชิงนโยบาย) และมีข้อจำกัดในการควบคุมเงินทุนไหลเข้าออกที่น้อยกว่า
ถ้าไทยต้องการเป็นศูนย์กลางการเงินจริง ๆ เราอาจจะต้องยอมให้ธุรกรรมเกิดขึ้นในสกุลอื่นๆได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่หากเราไม่ปรับตัว เงินทุนก็จะไหลไปหาประเทศที่ให้ความสะดวกมากกว่า
  • ภาษี – ต้องปฏิรูปทั้งระบบ
นอกจากนี้ ระบบภาษีของไทยยังไม่เอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางการเงิน ธุรกิจการเงินต้องเผชิญกับภาษีที่ซับซ้อนและไม่ทันสมัย เช่น ภาษีธุรกรรมทางการเงิน การควบรวมกิจการ และภาษีหัก ณ ที่จ่าย หรือตีความเรื่องภาษีที่ยุ่งยากและมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้หลายธุรกิจ (แม้แต่ธุรกิจไทย) เลือกไปตั้งสำนักงานในประเทศอื่น
นอกจากนี้ เรื่อง Cryptocurrency และ digital asset เป็นเรื่องใหม่และซับซ้อน หากต้องการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (อาจจะรวมไปถึงศูนย์กลางทางการเงินดิจิตอล) ไทยต้องสร้างกรอบกำกับดูแลที่สมดุล มีบทบาทในการป้องกันความเสี่ยงต่อระบบชำระเงิน และคุ้มครองผู้บริโภคได้ แต่ก็ไม่ปิดกั้นการพัฒนานวัตกรรม และการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ
  • โอกาสในการเปิดเสรีภาคการเงิน?
ถ้าจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินจริงๆ อาจจะไม่ใช่ตั้งเป้าแค่การเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามา เพียงอย่างเดียว
แต่เราอาจจะใช้โอกาสนี้ในการทยอยยกระดับภาคการเงินของไทยให้แข็งแกร่งพอที่ธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศจะพึ่งพาได้ ทั้งเรื่องกรอบกฎหมาย ระบบยุติธรรม การกำกับดูแลสถาบันการเงิน ระบบภาษี การควบคุมเงินเข้าออก และทยอยเปิดเสรีทางการเงินอย่างรอบคอบ
หากทำได้ เราจะไม่ใช่แค่ “ตลาดรอง” ที่คนไทยต้องบินไปใช้บริการจากประเทศอื่น (ยกตัวอย่างเช่น เราไม่มีกฎหมาย trust แต่คนไทยจำนวนมากต้องการใช้บริการ trust ต้องบินไปใช้บริการในต่างประเทศ หรือคนไทยหลายคนบินไปซื้อประกันชีวิตในต่างประเทศ เพราะผลิตภัณฑ์ของเขาให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าที่เราขายกันในประเทศ แต่เราไม่อนุญาตให้นำมาเสนอขายในประเทศไทยได้)
แต่เราจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ทำหน้าที่ รวบรวม จัดสรร และติดตาม การใช้ทรัพยากรทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างงานสร้างรายได้ และเป็นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน
โฆษณา