Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
17 ก.พ. เวลา 12:20 • สุขภาพ
จาก "ยาพระเอก" สู่ "ภัยเงียบดื้อยา": เส้นทางการต่อสู้ฝีดาษลิงของ "เทโควิริแมท"
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ในวันนี้ผมจะพาทุกท่านเดินทางย้อนเวลาไปสำรวจเรื่องราวที่น่าสนใจและมีความสำคัญอย่างยิ่งในวงการแพทย์และสาธารณสุข นั่นก็คือเรื่องราวของยา "เทโควิริแมท" (Tecovirimat) ยาที่เปรียบเสมือน "พระเอกขี่ม้าขาว" ในการต่อสู้กับโรค "ฝีดาษลิง" (Mpox) ที่เคยสร้างความกังวลไปทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีประเด็นที่น่าจับตาและต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นั่นก็คือเรื่องของการ "ดื้อยา" ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
จุดเริ่มต้น: ไวรัสฝีดาษ...ภัยคุกคามที่หวนกลับมา
เรื่องราวเริ่มต้นจากไวรัสในตระกูล Orthopoxviruses ซึ่งเป็นตระกูลไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในมนุษย์หลายชนิด ที่เรารู้จักกันดีก็คือ "ฝีดาษ" (Smallpox) โรคร้ายที่เคยคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย แต่ด้วยความสำเร็จของการฉีดวัคซีน ทำให้องค์การอนามัยโลกประกาศว่าโรคฝีดาษถูกกำจัดไปจากโลกได้สำเร็จในปี 2523
อย่างไรก็ตาม ไวรัสในตระกูล Orthopoxviruses ยังคงวนเวียนอยู่ในธรรมชาติ และก่อให้เกิดโรคอุบัติใหม่ที่น่ากังวล เช่น "ฝีดาษลิง" (Monkeypox) หรือ Mpox ที่เราคุ้นเคยกันในช่วงปีที่ผ่านมา
ปัจจุบันพบการระบาดของโรคฝีดาษลิงเกิดขึ้นเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การระบาดครั้งใหญ่ในปี 2565 ที่ไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ที่ปรับตัวเข้าสู่คนได้ดี (clade II) แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตระหนกและทำให้เราต้องหันกลับมาทบทวนถึงความพร้อมในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่อีกครั้ง
"เทโควิริแมท": ความหวังใหม่ในการรักษาฝีดาษลิง
ในสถานการณ์ที่โรคฝีดาษลิงกลับมาระบาด การมียาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และ "เทโควิริแมท" ก็ได้กลายเป็นความหวังใหม่ในการรักษาโรคนี้ ยาตัวนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้รักษาโรคฝีดาษตั้งแต่แรก แต่ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ที่ครอบคลุมไวรัสในตระกูล Orthopoxviruses ทำให้ยาเทโควิริแมทสามารถนำมาใช้รักษาโรคฝีดาษลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยาเทโควิริแมทมีกลไกการทำงานที่น่าสนใจ โดยยาจะเข้าไป "ยับยั้งการปล่อยไวรัสออกจากเซลล์" ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการแพร่กระจายของไวรัสในร่างกายของเรา ลองจินตนาการว่าไวรัสเหมือน "ผู้ร้าย" ที่บุกรุกเข้าไปใน "บ้าน" (เซลล์) ของเรา
เมื่อผู้ร้ายเข้าไปในบ้านแล้ว ก็จะพยายาม "ผลิตลูกน้อง" (ไวรัสตัวใหม่) ออกมามากมาย และพยายาม "ออกจากบ้าน" เพื่อไป "ก่อความวุ่นวาย" ในบ้านหลังอื่นๆ ต่อไป ยาเทโควิริแมทจะทำหน้าที่เหมือน "ตำรวจ" ที่มาปิดประตูบ้านไม่ให้ผู้ร้าย (ไวรัสตัวใหม่) ออกจากบ้านไปแพร่กระจายต่อได้นั่นเองครับ
ในระดับโมเลกุล ยาเทโควิริแมทออกฤทธิ์โดยการ "จับเป้าหมาย" ที่โปรตีนไวรัสชนิดหนึ่งชื่อ "F13" โปรตีน F13 นี้มีความสำคัญต่อการสร้าง "ไวรัสที่ถูกห่อหุ้ม" (wrapped virions) ซึ่งเป็นรูปแบบของไวรัสที่พร้อมจะแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยาเทโควิริแมทจะเข้าไป "ส่งเสริมการจับคู่กัน" ของโปรตีน F13 หรือก็คือ "การสร้างไดเมอร์ (dimerization)" ของโปรตีน F13 นั่นเองครับ การจับคู่กันนี้เองที่เป็นกลไกสำคัญในการยับยั้งการทำงานของโปรตีน F13 และสกัดกั้นการแพร่กระจายของไวรัส
งานวิจัยเชิงลึก: ไขกลไกการทำงานของยาและการดื้อยา
เพื่อทำความเข้าใจกลไกการทำงานของยาเทโควิริแมทและประเด็นการดื้อยา นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาเชิงลึก โดยใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น "ผลึกศาสตร์ (crystallography)" และ "การจำลองพลศาสตร์โมเลกุล (molecular dynamics simulations)" ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยให้เรามองเห็นโครงสร้างและการเคลื่อนไหวของโมเลกุลในระดับอะตอม
จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Microbiology นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า โปรตีน F13 นั้น จับคู่กันเป็นคู่หรือก็คือ "สร้างไดเมอร์" บนเยื่อหุ้มเซลล์ และยาเทโควิริแมทจะเข้าไปแทรกตัวในช่องว่างระหว่างโปรตีน F13 สองโมเลกุลที่จับคู่กันนี้เอง
การค้นพบนี้เองที่นำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับกลไกการทำงานของยาเทโควิริแมท นักวิทยาศาสตร์พบว่า ยาเทโควิริแมททำหน้าที่เหมือน "กาวโมเลกุล" ที่เข้าไปเชื่อมโปรตีน F13 สองโมเลกุลให้จับคู่กันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การจับคู่กันนี้เองที่เป็นกลไกสำคัญในการยับยั้งการทำงานของโปรตีน F13 และส่งผลให้ไวรัสไม่สามารถแพร่กระจายได้
ภัยเงียบ "ดื้อยา": ความท้าทายที่ต้องเผชิญ
ถึงแม้ว่ายาเทโควิริแมทจะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีประเด็นที่น่ากังวลใจ นั่นก็คือเรื่องของการ "ดื้อยา" ครับ เหมือนกับยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาแบคทีเรีย ที่เมื่อใช้ไปนานๆ แบคทีเรียก็อาจจะปรับตัวและดื้อยาได้ ไวรัสก็เช่นกันครับ มันสามารถกลายพันธุ์และพัฒนาความสามารถในการหลีกเลี่ยงการออกฤทธิ์ของยาได้
จากงานวิจัยได้ชี้ให้เห็นถึง "การกลายพันธุ์" ของไวรัสฝีดาษลิงที่ทำให้เกิดการดื้อยาเทโควิริแมท โดยการกลายพันธุ์เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในบริเวณส่วนต่อประสานของโปรตีน F13 ไดเมอร์ หรือก็คือบริเวณที่โปรตีน F13 สองโมเลกุลมาจับคู่กันนั่นเองครับ การกลายพันธุ์ในบริเวณนี้จะไปขัดขวางการสร้างไดเมอร์ที่ถูกกระตุ้นโดยยา ทำให้ยาเทโควิริแมทไม่สามารถออกฤทธิ์ได้เต็มที่ และไวรัสก็ยังคงสามารถแพร่กระจายต่อไปได้
นักวิทยาศาสตร์ได้ระบุถึงการกลายพันธุ์หลายชนิดที่ทำให้เกิดการดื้อยา เช่น Y258C, A288P, A290V และ I372N การกลายพันธุ์เหล่านี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าสามารถลดประสิทธิภาพของยาเทโควิริแมทในการยับยั้งไวรัสได้จริง นอกจากนี้ ยังมีการกลายพันธุ์อื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการดื้อยา เช่น S292F, S292K และ L296Y ซึ่งการกลายพันธุ์เหล่านี้อาจทำให้ไวรัสดื้อยาได้มากขึ้นไปอีก
การทดลองในห้องปฏิบัติการ: ยืนยันกลไกการดื้อยา
เพื่อยืนยันกลไกการดื้อยา นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น "Mass Photometry" ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้วัดมวลโมเลกุลของโปรตีน และ "Proximity Ligation Assay (PLA)" ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ตรวจวัดการจับคู่กันของโปรตีนในเซลล์
ผลการทดลองเหล่านี้สอดคล้องกับสมมติฐานที่ว่า การดื้อยาเกิดจากการที่ไวรัสกลายพันธุ์จนทำให้ยาเทโควิริแมทไม่สามารถกระตุ้นให้โปรตีน F13 สร้างไดเมอร์ได้ เมื่อยาไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ ไวรัสก็ยังคงสามารถแพร่กระจายต่อไปได้ และเกิดเป็นภาวะดื้อยาในที่สุด
ก้าวต่อไป: เฝ้าระวังและพัฒนายาใหม่
ประเด็นเรื่องการดื้อยาเทโควิริแมทนี้เป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการระบาดของโรคฝีดาษลิงในปัจจุบัน การตรวจติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาเทโควิริแมทจึงมีความสำคัญ เพื่อให้เราสามารถตรวจพบการปรากฏตัวของไวรัสดื้อยาได้อย่างทันท่วงที
2
นอกจากนี้ การพัฒนายาต้านไวรัสชนิดใหม่ๆ ที่มีกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างจากยาเทโควิริแมท หรือยาที่สามารถออกฤทธิ์ได้ดีแม้กับไวรัสดื้อยา ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต จากข้อมูลในปัจจุบันทำให้เห็นว่าการทำความเข้าใจโครงสร้างและการทำงานของโปรตีน F13 ในระดับโมเลกุล จะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนายาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
บทสรุป: การเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด
เรื่องราวของยาเทโควิริแมทเป็นการเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุดครับ จาก "ยาพระเอก" ที่สร้างความหวังในการรักษาโรคฝีดาษลิง สู่ "ภัยเงียบดื้อยา" ที่เป็นความท้าทายใหม่ที่เราต้องเผชิญ แต่ในขณะเดียวกัน ความท้าทายนี้ก็เป็นแรงผลักดันให้เราต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น
จากบทความนี้ ผมหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับยาเทโควิริแมทและประเด็นการดื้อยามากยิ่งขึ้นนะครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอฝากคำถามชวนคิดไว้สักเล็กน้อยครับว่า ในการต่อสู้กับโรคอุบัติใหม่และการดื้อยา เราจะสามารถเรียนรู้และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของไวรัสได้อย่างไร? และเราจะสามารถสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งและยั่งยืน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากโรคระบาดในอนาคตได้อย่างไรบ้าง?
ขอบคุณที่ติดตามอ่านบทความของผมนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ
เอกสารอ่านเพิ่มเติม
1.
https://www.nature.com/articles/s41564-025-01936-6
ข่าวรอบโลก
ความรู้รอบตัว
สุขภาพ
บันทึก
5
2
5
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย