14 ก.พ. เวลา 04:14 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

A Legend

Deepfake เฉินหลง
แม้ The Myth(2005) ของเฉินหลงและผู้กำกับสแตนลีย์ ตงจะไม่ใช่หนังที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศและนำเสนอแนวแฟนตาซีที่แปลกใหม่สำหรับหนังของเฉินหลง อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมีภาคต่อ
โดยที่ A Legend (2024) ถูกสร้างขึ้นในฐานะภาคต่อของ The Myth (2005) แต่กลับกลายเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของเฉินหลงและผู้กำกับสแตนลีย์ ตง แม้หนังจะใช้งบประมาณสูงถึง 360 ล้านหยวน แต่กลับทำรายได้เพียง 80 ล้านหยวนในจีน
A Legend ซึ่งเป็นการเดินรอยตาม The Myth โครงเรื่องของ A Legend ก็คล้ายกับ The Myth คือมีการเล่าเรื่องแบบคู่ขนานระหว่างยุคปัจจุบันกับอดีตสมัยราชวงศ์ฮั่น โดยเฉินหลงรับบทเป็นศาสตราจารย์ฝางในยุคปัจจุบัน และเป็นแม่ทัพจ้าวจ้านในอดีต แม้ว่า A Legend จะถูกโปรโมตว่าเป็นภาคต่อ แต่แท้จริงแล้วทั้งสองเรื่องแทบไม่มีความเชื่อมโยงกันเลย ตัวละครหลักเปลี่ยนไป ยุคสมัยที่เกิดเรื่องก็แตกต่างกัน The Myth ตั้งอยู่ในช่วงราชวงศ์ฉิน ในขณะที่ A Legend เกิดขึ้นในยุคราชวงศ์ฮั่น ซึ่งยังคงทำสงครามกับชนเผ่าซวงหนู
ตัวหนังออกฉายท่ามกลางเสียงวิจารณ์เชิงลบ ซึ่งทำให้คาดการณ์ไว้แล้วว่ามันอาจจะไม่ดีนัก แต่เมื่อได้ชมจริงๆ กลับพบว่ามันสนุกกว่าที่คาด แม้จะยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก นี่อาจเป็นอีกหนึ่ง "หนังที่ถูกประเมินต่ำ" (underrated movie) ของเฉินหลง อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่า A Legend เป็นหนังที่ดี เพราะมันยังห่างไกลจากคำนั้น แต่มันไม่ถึงกับแย่จนดูไม่ได้
หนึ่งในจุดอ่อนสำคัญของหนังคือบทที่ไม่แข็งแรงพอ นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยี AI เพื่อทำให้เฉินหลงวัย 70 ปีดูเป็นแม่ทัพหนุ่มวัย 20 กลางๆ กลายเป็นดาบสองคม แทนที่จะเป็นจุดขาย กลับกลายเป็นจุดอ่อน เพราะเอฟเฟกต์ที่ยังไม่สมบูรณ์ทำให้ขาดความสมจริง หน้า AI ของเฉินหลงเพียงแค่คล้ายเฉินหลงในวัยหนุ่ม เรียกว่าเป็นเฉินหลงเวอร์ชั่นปรับปรุงรูปหน้าให้ดู"หล่อ"ขึ้น แต่ไร้ความรู้สึก เพราะหน้า AI แสดงอารมณ์ไม่ได้เลย
โดยเนื้อเรื่องนั้นศาสตราจารย์ฝาง (เฉินหลง) นักโบราณคดี ค้นพบว่าจี้หยกวัตถุโบราณที่ลูกศิษย์ของเขา หวังจิ้ง(จางอี้ชิง) มีลักษณะคล้ายกับหยกที่ผู้หญิงในฝันของเขาเมิ่งหยวน(กู่ลี่นาจา)สวมใส่ ด้วยความสงสัย เขาและทีมงานจึงเริ่มต้นสำรวจ นำไปสู่การผจญภัยในวัดโบราณใต้ธารน้ำแข็ง และการเผชิญหน้ากับอดีตชาติ
หนังดำเนินเรื่องควบคู่กันระหว่างสองไทม์ไลน์ ให้น้ำหนักในอดีตประมาณร้อยละ 70 อีก 30 เป็นในยุคปัจจุบัน ที่ศาสตราจารย์ฝางพยายามค้นหาความหมายของจี้หยกโบราณที่ทำให้เขาฝันถึงหญิงงาม แม่ทัพฮั่น และศัตรูจากชนเผ่าซวงหนู ขณะเดียวกัน ลูกศิษย์ของเขาก็ฝันในเรื่องราวเดียวกัน
ส่วนในไทม์ไลน์อดีต กองทหารม้าราชวงศ์ฮั่นต้องเผชิญหน้ากับชนเผ่าซวงหนูที่กำลังแย่งชิงอำนาจภายในเผ่าตนเอง ในขณะที่ผู้นำใหม่ของพวกเขาพยายามตามหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของจอมขมังเวทย์ ที่มีเมิ่งหยวนเป็นศูนย์กลางของตัวละครทั้งหมด
แต่ปัญหาหลักๆ เลย คือ พล็อตของหนังไม่มีเสน่ห์เท่า The Myth โครงเรื่องทั้งในอดีตและปัจจุบันไม่ได้เชื่อมโยงกันอย่างแนบเนียน ทำให้ยากที่จะอินไปกับเรื่องราว และแม้ว่าเนื้อหาช่วงยุคราชวงศ์ฮั่นจะกินเวลาส่วนใหญ่ของหนัง แต่มันกลับให้ความรู้สึกเร่งรีบและไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ ขณะที่ยุคปัจจุบันก็ไร้ดูเรื่อยๆ ขาดปมขัดแย้งที่จะทำให้พล็อตเรื่องดูน่าติดตาม เรียกว่าเหมือนดูหนังคนละเรื่องกันเลย
สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนใน A Legend คือ เฉินหลงในสองยุค เมื่อบทแม่ทัพจ้าวจ้านแทบไม่ได้แสดงโดยเฉินหลงจริงๆ เลย แต่เป็นสตันท์แมนหนุ่มที่ใช้ CGI ทำให้ดูเหมือนเฉินหลงวัยหนุ่ม ซึ่งเป็นเทคนิคที่คล้ายกับที่ใช้ใน Vanguard (2020) แม้จะเข้าใจได้ว่าเฉินหลงในวัย 70 ปี ไม่สามารถเคลื่อนไหวแบบเดิมได้ แต่การพึ่งพาหน้าตา CGI มากเกินไปกลับทำให้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติและขัดตา
การลดอายุอาจได้ผลในบางฉาก แต่หนังตัดสินใจใช้เทคนิคนี้ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นความท้าทายที่แม้แต่ฮอลลีวูดยังไม่สามารถทำได้อย่างไร้ที่ติ อย่างแฮริสัน ฟอร์ด ในอินเดียน่า โจนส์ 5 ยังเป็นหลุมเป็นบ่อในหนัง และด้วยงบประมาณที่น้อยกว่าหนังฮอลลีวูดหลายเท่า การเลือกใช้เทคนิคนี้จึงเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลเสียต่อคุณภาพโดยรวมของหนัง
ยังดีที่หนังใช้ประโยชน์จากทิวทัศน์ ภาพของกองทหารม้านับพันตัวดูสวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจมาก
Lay Zhang หรือจางอี้ชิงเป็นหนึ่งในนักแสดงสมทบที่โดดเด่นที่สุดในเรื่อง ทั้งในแง่ของการแสดงและฉากแอ็กชัน ขณะที่ Aarif Rahman หรือ หลี่จื้อถิง รับบทตัวร้าย แม้บทของเขาจะค่อนข้างซ้ำซากในหนังแนวย้อยยุค แต่เขากลับมีพัฒนาการที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงท้ายของหนัง แต่อย่างไรก็ตาม หนังให้เวลากับตัวละครรองมากเกินไป จนทำให้เฉินหลงแทบไม่มีพื้นที่ในหนังของตัวเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสียสำคัญที่ทำให้ A Legend ดูไม่น่าติดตามเท่าที่ควร ก็เข้าใจได้ในเรื่องของวัย
ส่วนฉากต่อสู้นั้น แฟน ๆ อาจผิดหวังกับฉากต่อสู้ใน A Legend เพราะส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ด้วยดาบบนหลังม้า แบบสงครามมากกว่าคิวบู๊แนวคอมเมดี้แบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเฉินหลง
ยังดีที่ประมาณ 20 นาทีสุดท้ายเหมือนเป็นของแถม เมื่อฉากแอ็กชันสไตล์ “เฉินหลงคลาสสิก” กลับมามีให้เห็น แต่ถือเป็นการรอคอยที่ยาวนานเกินไปสำหรับแฟน ๆ ที่คาดหวังความสนุกแบบเดิม สแตนลีย์ ตงบาลานซ์เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลยจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ฉากต่อสู้ฉากนี้ยังคงมีคุณภาพดี เมื่อคำนึงถึงวัยของเฉินหลงเข้ามาประกอบ
ฉากนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างเฉินหลงและหลี่จื้อถิงในวิหารน้ำแข็งโบราณ เฉินหลงอาจจะไม่ได้โชว์การต่อสู้ด้วยร่างกายนัก แต่ทดแทนด้วยการตัดต่อมาอย่างลื่นไหล ภายใต้การออกแบบฉากแอ็กชันของหยวนเต๋อและเหอจวิน แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพียง "รางวัลปลอบใจ" เพื่อเตือนให้ผู้ชมรู้ว่านี่คือหนังของเฉินหลง แม้ว่าฉากแอ็กชันจะน้อยลงมากและขาดความพลิ้วไหวแบบเดิม แต่ก็ดีที่มีให้ดู
ในฐานะที่เป็นแฟนหนังเฉินหลงตัวยง เอาใจช่วยเชียร์เขามาตลอด ผมยังสนุกกับหนังของเขาได้อยู่ครับ อย่างน้อยก็ดีกว่าหนังเฉินหลง - สแตนย์ ตงอย่าง Vanguard (2020) ส่วนงานที่น่าสนใจกว่าของเฉินหลงอาจต้องรอ Karate Kid Legends
ระดับความน่าดู 5.5/10
โฆษณา