23 ก.พ. เวลา 14:36

วันที่น่าจดจำ

คิดอยู่เสมอว่า จริงๆ แล้วอยากทำงานแบบไหน
คำตอบคือ งานที่เติมเต็มชีวิตที่สุด รู้สึกสนุก มี Passion เหมือนไม่ได้ทำงาน
ก็คงหนีไม่พ้นงานที่เราเริ่มต้นที่บริษัทประกันแรกตั้งแต่อายุ 29 จนถึง 38
เอาเข้าจริงตอนเริ่มก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรได้เยอะหรือผูกผันกับการงานขนาดนี้
แต่ด้วยสิ่งแวดล้อม ผู้คนรอบกาย ตั้งแต่เพื่อนร่วมงาน คนขาย และลูกค้า เอื้อให้การทำงานมีความสุขและสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่
ตอนนี้ได้กลับมาแล้ว แต่เป็นคนละแผนก
เมื่อเวลามันยังไม่ใช่ ต้องทำอะไรให้เกิดประโยชน์อย่างน้องก็กับตัวเอง
ก็ถือว่าเป็นการฝึกวิชาเพิ่มเติม วิธีการดีลกับลูกค้ารายใหญ่
แต่ก็คิดเสมอว่าจะได้กลับมาข้องแวะในส่วนที่ของพี่ ๆ ตัวแทนที่เราถนัดและเชื่อว่าผู้คนตรงนั้นก็คงเห็นคุณค่าของเรามากกว่าเช่นกัน
หลายเดือนผ่านไป ในที่สุด ก็มีวันที่มีโอกาสได้แชร์ประสบการณ์กับพี่ ๆ ตัวแทนก็มาถึง
(แบบไม่เป็นเป็นทางการ)
อันที่จริงกลุ่มพี่ ๆ กลุ่มนี้ขอให้เราไปแชร์ประสบการณ์ที่ไปเจอโลกกว้าง
แน่นอน เราเตรียมเนื้อหาอย่างดี คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่มาฟัง
มีคนฟังอยู่ 15 คน ซึ่งเราถือว่ามากแล้วในครั้งนี้ โดยเทียบจากครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่มีคนฟังเรา 8 คนเท่านั้น
"ทำเต็มที่ คาดหวังให้น้อย"
พี่ ๆ ตัวแทนกลุ่มนี้เปรียบเสมือนคุณครูให้กับเราตอนเริ่มงาน เริ่มอาชีพนี้
เรื่องแรก - แชร์ภาพความยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมประกันชีวิตในญี่ปุ่น และประสบการณ์ตรงที่ได้จากการไปดูงานด้วยตัวเอง
เห็นเลยว่าทุกคน amazing กับข้อมูลมาก
ความยิ่งใหญ่ เกิดจาก Back-to-Basic ทั้งนั้น
แต่ทำสิ่งธรรมดาให้เรียบง่าย ให้จริงจัง ปราณีต อย่างมีวินัย
เรื่องถัดมา - เป็นการสะท้อนความคิดของเราเมื่อมองจากข้างนอก
เห็นอีกเหมือนกันว่าพี่ ๆ ตระหนักได้เลยว่าพวกเขาไม่ได้แค่ทำงาน
แต่สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับลูกค้า และสร้างสังคมให้แข็งแกร่งในเรื่องการเงิน
ทุกคนเห็นกระทำที่ดีของตัวเอง ต่อลูกค้าและสังคมกว่าคนอื่นๆ ในอุตสาหกรรม
เรื่องสุดท้าย - สิ่งดี ๆ ของวัฒนธรรมพี่ ๆ ที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน
ซึ่งก็คือสังคมแห่งการแบ่งปัน และการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนภูมิใจกับเรื่องนี้ และเป็นสิ่งสำคัญที่ตัวองค์กรยังยืนหยัดอย่างแข่งแกร่งจนถึงทุกวันนี้
หลังจากนั้น พี่ ๆ ตัวแทนก็เริ่มแชร์กับบ้าง
แต่กลับเซอร์ไพรส์เรา เพราะเป็นการแชร์ความประทับใจในตัวเรา ซึ่งกลายเป็น Agenda สำคัญของวันนี้ไป
ท่านแรกพูดถึงตั้งแต่สมัยเริ่มตั้งคลับ
สถานที่ที่ให้ความรู้ที่ถูกต้องกับนักขายรุ่นแรก สร้างพื้นฐานที่แข่งแกร่ง สามารถเข้าใจเชิงลึกและพลิกแพลงข้อโต้แย้งต่าง ๆ ได้อย่างมืออาชีพ
ยิ่งไปกว่านั้นพูดถึงความใส่ใจที่เรามีให้กับพี่ ๆ ตัวแทน
"ไม่ได้คิดในมุมของตัวเอง แต่คิดไปถึงมุมคนขายที่ต้องไปเจอลูกค้า และคิดในมุมลูกค้าอีกด้วย"
ในปัจจุบันไม่มีคนทำงานแบบนี้อีกแล้ว ความผูกพันหายไป ห่างเหินกันมาก
ไม่ใข่แค่เราเท่านั้น ที่ตัวแทนประทับใจ แต่รวมไปถึงทีมงาน ยิ่งเป็นคนที่ผ่านการฝึกจากเรา จะเป็นคนมีคุณภาพให้กับพี่ๆ ตัวแทนด้วยใช่กัน
ดังนั้น อยากให้ทุกคน ถ้ามีวิธีใดที่จะช่วยให้เรากลับมาได้ ก็ขอให้ช่วยกัน
ท่านที่สอง ขึ้นมาพูดประโยคแรกเลยว่า ตอนรู้ที่ว่าเราลาออก ใจสลายมาก เหมือนคนอกหัก (พูดไปน้ำตาคลอไป)
แต่ก็เหมือนกัน ประทับใจโมเม็นต์ที่เราได้ทำให้กับพี่ ๆ ตัวแทนตลอดมา สร้างสิ่งดีๆ เพิ่มศักยภาพและความมั่นใจในการขายสินค้านี้กับลูกค้าทุกคน
และอยากให้เรากลับมาช่วยงานอีกครั้ง
ท่านสุดท้าย เล่าให้ฟังว่า มีผู้ใหญ่ท่านนึงโทรมาบอกว่าเรากลับมาแล้วนะ พี่เขาขณะที่นั่งอยู่ในรถ ร้องเสียงดังอย่างตื่นเต้น เป็นเสียงของความดีใจ
และอยากให้เรากลับมาช่วยกันอีก จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายขายทุกคนที่สุด
หลังจากนั้นจะเป็นการกินข้าวกลางวันร่วมกันแบบเป็นกันเอง
ใครทำอะไรอร่อย หรือซื้อจากร้านเจ้าดัง ก็เอามาแบ่งกันแบบบุฟเฟ่ย์
ใครใคร่ตัก ตัก ใครใคร่อยากให้ใครได้ชิมของใคร ก็ตักใส่จานให้เลย
อบอุ่นเหมือนครอบครัว
เราเองก็เอร็ดอร่อยกับอาหารมื้อนี้มาก แต่ไม่เท่ากับความประทับใจที่มีมากกว่า
ตื้นตันใจจนพูดไม่ออกจริง อิ่มล้นใจมาก ๆ
เห็นพี่ ๆ ทุกคนเป็นกันเองแบบนี้แล้ว ภาพสมัยก่อนตอนที่เราเริ่มชีวิตการทำงานที่นี่ ลอยมา รวมถึงความรู้สึกดีๆ มันกลับมาหมด ที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้จริง ๆ
นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่อนาคตไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น
ไม่รู้สิ่งที่เราหวังจะเกิดขึ้นมั้ย
แต่เชื่อเสมอว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราแล้ว ย่อมดีเสมอ
จำคำพี่เตาได้แม่นว่า
"เหตุที่คนเป็นโลกซึมเศร้า เพราะตัดใจไม่ได้บนทาง 2 แพร่ง
เมื่อตัดสินใจแล้ว เกิดไม่ดี ก็จะโทษตัวเอง
เสียดายที่ทำไมไม่เลือกอีกทาง
แต่ทั้งนี้ เราไม่มีทางรู้ได้ว่า ถ้าเลือกอีกทางจะเป็นอย่างไร
ทำตัวให้เหมือน 'สายน้ำ'
ไหลไปเจอทางแพร่งใหม่ แล้วก็ตัดสินใจใหม่
'ไม่มีที่ตัดสินใจผิด'"
โฆษณา