26 ก.พ. เวลา 13:04 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Captain America: Brave New World - พลังที่เซรุ่มมิอาจเทียบเคียง

สรุปแก่นทั้งหมดจาก
"Captain America: Brave New World"
(เหมาะกับคนดูจบแล้วเท่านั้นครับ)
.
.
.
.
.
1. "คนเราเปลี่ยนแปลงได้"
- แม้แต่คนที่เคยทำไม่ดี หยิ่ง ทรนง ไม่ฟังใคร เอาตัวเองเป็นใหญ่มาทั้งชีวิตอย่าง ปธน. "รอสส์" ก็ยังมีจุดเปลี่ยนให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ เมื่อชีวิตเข้าใกล้ความตาE ยิ่งทำให้เขาตระหนักในคุณค่าและความหมายของชีวิตมากขึ้นจริงๆ
ทั้งการนึกถึงคนอื่นมากขึ้น การปรับตัวให้แข็งได้อ่อนเป็น เคยบาดหมางกับ "Sam Wilson" ใน Civil War ก็หาตรงกลางร่วมมือกันเพื่อชาติ อะไรที่เคยทำพลาดในอดีต ตั้งแต่ Incredible Hulk ก็พร้อมทำให้มันดีขึ้นให้โลกและ "Betty" ลูกสาวสุดที่รักได้เห็น แม้ใครต่อใครจะตีตราด่วนตัดสินว่าสันดานรอสส์มันไม่มีวันเปลี่ยน เขาก็ยังยิ้มสู้ ใส่สูท ออกไปพิสูจน์ตัวเองต่อเรื่อยๆ
แต่ชะตาก็เหมือนเล่นตลกร้าย เมื่อยาที่เขากินเพื่อประทังชีวิต ได้ถูก "Samuel Sterns" นักโทษและนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะผู้เป็นเหยื่อจากการกระทำของรอสส์ กลับมาแก้แค้นแอบฝังรังสีแกมม่าเอาไว้ สะสมจนอารมณ์เริ่มฉุนเฉียวไม่เป็นตัวเองและกลายร่างเป็น "Red Hulk" อาละวาดสร้างความเสียหายต่อหน้าคนทั้งโลก พุ่งหวดกับแคปแซมไปจนสวนซากุระอันสวยงามต้องราบเป็นไฟบรรลัยกัลป์ กระนั้นเมื่ออีกฝ่ายพูดเรียกสติคืนร่างมา เขาก็ยอมลาออกจากตำแหน่งอันทรงเกียรติและรับโทษทัณฑ์จำคุกราฟสุดหฤโหดแต่โดยดี
สิ่งนี้ที่ทำให้เบตตี้หวนคืนกลับมาหาพ่อของเธอ พ่อที่ยอมรับ เรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต-ปัจจุบัน และพยายามแก้ไข พัฒนาต่ออย่างดีที่สุด
"เรานั่งคุยในนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันเนอะลูก ;)"
ปธน.รอสส์
คนเราเปลี่ยนแปลงได้ และคู่ควรกับโอกาสที่ 2 เสมอ ขอเพียงมุ่งมั่นและตั้งใจจริง
2. "บางอย่างก็อยู่เหนือมันสมอง"
- แม้ตัวร้ายอย่าง "Samuel Sterns" จะฉลาดเป็น
กรดขนาดไหน วางแผนมาแยบยล และคาดการณ์เหตุต่างๆ ได้แม่นยำเพียงใด แต่แล้วสมองฉาบรังสีแกมม่าอันร้ายกาจของเขาก็ยังไม่เท่า "หัวใจ" อันบริสุทธิ์ที่พวกกัปตันมี ใจที่ยังศรัทธาในคุณค่าของคนอื่นเสมอแม้แต่คนอย่างรอสส์ ก็เปลี่ยนได้ขึ้นมาจริงๆ แค่เพียงรู้ว่ากำลังสู้ "เพื่อใครสักคน"
นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้แซมชนะอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่แค่การทายผล แต่เขาเปลี่ยนชีวิตชายทั้งคนที่หลงทางมานานให้พบความสงบสุขในจิตใจ เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์และความน่าจะเป็นที่ไหนก็ไม่อาจวัดค่าได้เลย
3. "ไม่มีใครแทนใครได้"
- หนึ่งในสิ่งที่ชอบสุดของหนังภาคนี้ คือการขยายปมจากซีรีส์ "Falcon & Winter Soldier" ได้เป็นอย่างดี ที่ไม่เพียงแค่การต่อสู้กันระหว่างขั้วอำนาจที่มองต่างกัน ยังมีการห้ำหันเชือดเฉือนทางการเมืองที่เข้มข้นบนพื้นฐานของมนุษย์ปุถุชนซึ่งมองผลประโยชน์ตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด
แต่ก็ยังไม่เท่า "การต่อสู้ในใจ" ของตัวละคร อย่างในซีรีส์เราได้เห็นทั้ง "Bucky" ที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการข้ามผ่านเงามัจจุราชของตัวเองในอดีต และแซมเองที่ต้องรับช่วงต่อจากเพื่อนและฮีโร่ผู้เป็นตำนานอย่าง "Steve Rogers" ทำให้โล่ไวเบรเนี่ยมลายธงชาติสุดคลาสสิกในมือ กลายเป็นภาระอันหนักอึ้งเกินบรรยาย
แม้ตอนท้ายของซีรีส์ แซมจะสวมชุดในฐานะกัปตันอเมริกาคนใหม่อย่างเป็นทางการ เป็นสัญลักษณ์และความภูมิใจว่าคนผิวสีก็เป็นตัวแทนประเทศได้ ขอเพียงเขามุ่งมั่นและมีคุณสมบัติพอ โลกนี้ต้องไม่มีการแบ่งแยกอีกแล้ว พร้อมแสดงความเป็นผู้นำ และความสามารถต่างๆ ช่วยให้โลกผ่านวิกฤตไปได้
ทว่ามาในหนังภาค 4 ครั้งนี้ การต่อสู้ในใจที่ว่าก็ยังไม่มีทีท่าจะสงบลงง่ายๆ เมื่อแซมต้องเจอบททดสอบที่หนักขึ้น ใหญ่ขึ้น ต้องเป็นทั้งสัญลักษณ์ของชาติ และยอมทิ้งอดีตมาจับมือกับรอสส์เพื่อประเทศ ต้องทำงานบนพื้นฐานการเมืองและสายบังคับบัญชาที่เป็นระบบ
ยังพบกับศัตรูที่มองไม่เห็น และประเด็นละเอียดอ่อนซ่อนอยู่มากมาย ซึ่งทุกฉากทุกตอนจะเห็นได้ว่าสีหน้า แววตาของแซมล้วนเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจและแอบตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เราคือคนที่ใช่จริงๆ หรอ?" "สตีฟเลือกคนผิดหรือเปล่า?" "ควรฉีดเซรุ่ม Super Soldier ดีมั้ย? จะได้มีพลังแก้ปัญหาได้มากขึ้น"
ในห้วงเวลาที่อ่อนไหว เปราะบาง พร้อมร่างของ "Joaquin Torres" รุ่นน้องคนสนิทที่เปรียบดั่งศิษย์เอกในนาม Falcon คนใหม่ในการดูแลของเขา กลับพลาาดท่าในภารกิจช่วยเรือทัพญี่ปุ่น โดนแรงระเบิดจากมิสไซล์ นอนเจ็บปางตาE อยู่ บัคกี้ได้ปรากฎกายมาดูใจเพื่อนเก่า ราวกับรับรู้ทุกอย่างโดยไม่ต้ิงเอื้อนเอ่ย ก่อนจะย้ำให้แซมรู้ถึงคุณค่าที่เขามีแบบไม่มีใครเหมือน "จริงอยู่ที่สตีฟคือพลังยึดเหนี่ยวของผู้คน แต่นายก็สร้างแรงบันดาลใจให้คนเหมือนกัน ไม่ต้องมีเซรุ่มอะไรนั่นหรอก"
ประโยคที่ว่าทำให้แซมค่อยๆ วางปีกและโล่ที่หนักอึ้งลง หันมาเป็นตัวเองขึ้นอย่างแท้จริง ชายผู้มีหัวใจบริสุทธิ์ ยืนหยัดเคียงข้างผองเพื่อนและคนที่เขารักมาตลอดแบบ "Till the end of the line" อย่างกรณี "Isaiah Bradley" เพื่อนซี้ต่างวัยโดยสะกดจิตให้ก่อเหตุจารชน ยิงใส่ ปธน.รอสส์ จนถูกจับเข้าคุกรอประหาร แซมที่รู้ดีว่าเพื่อนำม่เป็นตัวเองตอนนั้น ก็พยายามอย่างสุดกำลังที่จะล้างมลทินให้ได้ แม้ว่าใครจะไม่เชื่อ
ทำเอานึกถึงกัปตันภาคเก่าๆ ที่บัคกี้อยู่เคียงข้างสตีฟในวันที่ยังเป็นหนุ่มผอมแห้งขี้โรคจนเป็นฮีโร่ของชาติ และเมื่อบัคกี้พลั้งพลาด ตกเป็นเครื่องมือของไฮดร้า สตีฟก็ยืนหยัดเอาตัวเข้าแลกเพื่อเพื่อน แม้แต่ใน Civil War ก็ถึงขั้นแตกหักกับโทนี่ สิ่งเหล่านี้เหมือนฉายภาพกลับมา สื่อให้เห็นว่าทำไมสตีฟถึงเลือกแซมมารับช่วงต่อ เพราะเขาเหมือนได้เห็นตัวเองอยู่ในนั้น คนที่เปี่ยมคุณธรรม น้ำมิตร และจิตวิญญาณที่แน่วแน่ มุ่งมั่นเป็นที่สุด ถ้าสตีฟมีบทในภาคนี้ด้วย เขาคงพูดกับแซมว่า
"You don't need any serum to power up, just be you Sam. Being you is enough! นายไม่ต้องมีเซรุ่มเพื่อจะมีพลังมากขึ้นหรอก แค่นายเป็นนาย เป็นแซมแบบนี้ก็เพียงพอ"
ความเป็นแซมนี่แหละที่ทำให้สตีฟ บัคกี้ และเหล่า The Avengers ยอมรับ รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กรุ่นใหม่ ไฟแรง ช่างพูดอย่าง Joaquin Torres ศรัทธา อยากเจริญรอยตามเขา ดูแล้วทำให้เรานึกถึงหลายคู่ศิษย์-อาจารย์ก่อนหน้านี้ เหมือนเป็นมุมที่มาร์เวลแอบสอดแทรกเสมอมา ไม่ว่าจะเป็น "โทนี่-ปีเตอร์" / "คลิ้นส์ (ฮอว์คอาย)-เคท" / "สก็อตต์ (แอนท์แมน)-แคสซี่" / "อกาธา-บิลลี่" ดีเหลือเกินที่ฮีโร่หลายคนมีผู้สืบทอดทั้งฝีมือและจิตวิญญาณ
ถ้าก่อนนี้มีใครบอกว่ากัปตันต้องใส่เดี่ยวกับฮัลค์ เชื่อแน่ว่าทุกคนคงยืนยันว่าไม่มีทางไหนจะสู้ได้ แม้กระทั่งสตีฟที่ฉีดเซรุ่มและกู้ครึ่งจักรวาลมาแล้วก็ตาม (ยกเว้นตอนมีค้อนธอร์)
เช่นกันกับแซมที่ต้องมาเจอ "Red Hulk" หรือปธน.รอสส์ผู้บ้าคลั่ง โดนศัตรูยั่วยุจนสติหลุด พอต้องมาสู้กันก็มีแต่ถอยกับโดน แต่ด้วยชุดที่พัฒนาขึ้น ทั้งปีกเสริมใยเหล็ก เคลือบด้วยไวเบรเนียมจากวากานด้า ซึ่งมีคุณสมบัติแบบเดียวกับชุดของ Black Panther ที่รับการโจมตีและสะสมพลังไว้ระเบิดสวนกลับได้ บวกกับประสบการณ์และกึ๋นในการต่อสู้ ก็ทำให้แซมสู้กับรอสส์ได้สมน้ำสมเนื้อยิ่งขึ้น จนแทบจะมีลุ้นชนะด้วยซ้ำ
ซึ่งด้วยพละกำลังและความอึด มันก็ยากที่จะโค่นฮัลค์ได้ แต่เพราะตัวตน ความเชื่อ และความหวังที่แซมมีต่อผู้อื่นเสมอ ก็ได้จุดประกายให้รอสส์ฟื้นคืนสติ กลับมาเป็นตัวเองได้ในที่สุด นั่นแหละคือพลังที่แท้จริงของกัปตันคนใหม่ที่เซรุ่มใดๆ มิอาจเทียบเคียง
โดยรวมภาคนี้
ถ้าดูแบบไม่คาดหวังอะไร
ผมถือว่ามันส์มากๆ
แอคชั่นจัดเต็ม เข้มข้น
จนอะดรีนาลีนพุ่งพล่าน
นานแล้วที่ไม่ได้ดูหนังมาร์เวล
แล้วตื่นเต้นกับบทแอคชั่นขนาดนี้
ชอบสุดคือฉากโบยบินโลดโผนบนฟ้า
เป็นโมเมนต์ที่ตระการตามากๆ
โดยเฉพาะกัปตันที่สู้ได้หลากหลายขึ้น
ปีกสองข้างนอกจากมีไว้บินแล้ว
ยังใช้เป็นโล่ เพิ่มเกราะสองชั้น
ป้องกันตัวเองได้แนบแน่น
รวมการประเด็นการเมืองที่
สอดแทรกมาได้ดีประมาณหนึ่ง
ทึ่งกับการแสดงของ "Harrison Ford"
ดีใจจริงๆ ที่เห็นแกมาแจมในจักรวาลมาร์เวล
ซึ่งแน่นอนว่าหนังเองก็มีแผลใหญ่
คือ "บท" ที่ยังอ่อน
พาให้เฟลจนไปไม่สุด
มีวัตถุดิบดีๆ ให้เล่นเต็มไปหมด
แต่กลับไม่รู้สึกอิมแพ็คมากพอสักอย่าง
ทั้งตัวร้ายที่ปูมาใช้ได้ ก็จบแบบง่อยไร้มิติ
ทั้งเจ๊วิโดว์ที่เหมือนจะสำคัญ
พอดูไปก็รู้สึกว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้
บางมุมแอบมองว่าเหมือนกำลังดู
The Incredible Hulk ภาค 1.5 มากกว่า
เรียกได้ว่าไม่ดีและไม่แย่ ถ้าดูเอามันส์คือได้
อย่างน้อยแค่ทำให้ใจเต้น ก็ถือว่ารอด
รวมถึงการปูทางต่อไปยัง
อีกหลายเรื่องราวจากนี้
ทั้ง "Thunderbolt" (ตอนพูดชื่อกลางรอส)
"X-Men" (อดาแมนเทียม+วูลฟ์เวอรีน)
"Eternal 2?" จากปมเซเลสเทียลเธียมัท
"Secret War สงครามระหว่างมิลติเวิร์ส"
จากสิ่งที่ Samuel Sterns พูดท้ายเครดิต
เป็นการเน้นย้ำถึงศึกครั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามา
และเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
จริงอยู่ที่จักรวาลมาร์เวล
อาจไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนก่อน
แต่ก็ยังมีเรื่องราวระหว่างทาง
อีกมากมายหลายอย่างที่น่าค้นหา
รอให้เราได้ติดตามกันต่อ
ยิ่งใครดูมานาน ยังอยากแนะนำ
ว่าตามเก็บให้ครบเป็นปัจจุบัน
จะสนุกครบรสไปได้เรื่อยๆ
อย่างน้อยกัปตันภาคนี้
ก็เป็นอีกหนึ่งหลักไมล์สำคัญ
ท่ามกลางพหุจักรวาลอันซับซ้อน
กว้างไกล และจะพาบททดสอบ
ตามมาอีกนับร้อยพัน
ที่แน่ๆ The Avengers ตอนนี้
มีแซมพร้อมเป็นผู้นำใหม่แล้ว,,,🇺🇸🪽
โฆษณา