16 ก.พ. เวลา 03:14 • ความคิดเห็น
สิ่งที่ตั้งคำถาม ..เมื่อเราตอบ มันก็วนเวียน ที่เค้าว่า เรื่องโลก เรื่องกรรม เรื่องอารมณ์ โลกธรรม มายาของอารมณ์กรรมต่างๆ ที่จิตนั้นหลงใหล ยึดถือ โดยไม่รู้ว่า สิ่งตนเอง จิตของตัวเอวหลงใหลในมายาต่าง นำพากายนั้นไปสร้างกรรม มีกิริยากายวาจาใจ ต่างๆที่เป็นกรรม บางที่ที่เค้าเรียกว่า อัตตา อัตตา..จิตจักรพรรดิ ที่ทำลายสิ่งที่ไหลเข้ามา ปะทะจิตของตน เกิดอารมณ์ ไม่พอใจ หงุดหงิด โมโห ทำลายผู้ที่ มาทำให้ตนเองร้อน . ก็ทำลาย
1
เรื่องราวของความยึดถืออารมณ์ ที่เกิดที่กาย .มีกายที่เป็นกรรม แล้วก็มาสร้างเพิ่มพูนกรรมให้มันมากขึ้น บางคนก็หลงใหลอยู่อย่างนั้น ว่ามันเป็นของดี แล้วก็ไม่รู้จักกรรม กายนั้นมีแต่กรรม ก็นำมานั่งนิ่งไม่ได้ ฝึกหัดไม่ได้ ที่เค้าบอกว่า จิตเราอาศัยอยู่เรือนกายพ่อแม่
พอเราจะนำเรือนกานพ่อแม่ มานั่งนิ่งๆ จิตเฉย ..ใม่มีอารมณ์เกิดขึ้น จิตเราก็ทำไม่ได้ .ไม่มีขันติปลดเปลื้องอารมณ์นึกคิด พอนั่งนิ่งไม่ได้ ทนไม่ไหว ..ก็ขยับเขยื้อนกายไปตามอารมณ์กรรม คือ ไปยึดอารมณ์นั้นเอง อารมณ์ที่ปรุงแต่งกาย จิตก็ยึดทุกข์อย่างอย่างนั้น ยึดอารมณ์ต่างที่ไหลออก จากธาตุทั้งสี่
นั่นจึงเป็นเรื่องราว ที่ว่าอริยะสัจสี่ สองข้อแรก คนเราใช้กาย..ก็วนเวียน อยู่ในเส้นทาง สร้างความทุกข์ สร้างเหตุให้เกิดทุกข์ อีกสองเส้นทาง ที่พระท่าน กวักมือ เรียก มาทางนี้ๆ มาทางของพระ เดินตามรอยของพระ เพื่อให้จิตพ้น ..ก็ไม่มีมีใครเค้ามาศึกษารอยนี้ ที่ช่วยเหลือจิตของตน ในคำว่า สร้างบุญกุศลบารมี
พอเขียนเรื่องอย่างนี้ คนเค้าไม่ชอบที่ลดละ .เค้ามีแต่หามาเพิ่มพูนอารมณ์กรรม สร้างอารมณ์กรรมยึดถืออยู่อย่างนั้น ทางของพระ เดินตามพระ ที่ท่านบอกให้ฝึกหัด เมื่อมีกายครบสามสิบสอง ต้องแข็งแรง นำมากระทำ จึงเป็นเรื่องราวยาก เพราะกรรมนั้นปิดบังขัดขวางตลอดทำนองที่ว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว พอเรามีเขียนเรื่องราวอย่างนี้ เราก็ระมัดระวังตัวเอง แล้วก็ไม่มีความคิด จะไปหารายได้อะไรทั้งนั้น bd ไม่คิดว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบใจ ในเรื่องที่เขียน ..เราไม่อยากจมยึดกับ โลกธรรม
ชีวิตคนเรา มันก็เดินอยู่คำว่าทุกข์ ก็ยึดทุกข์ แล้วทะเยอทะยาน สร้างทุกข์ให้เพิ่มขึ้น ..พอบอกว่า ทางนี้ ..ฝึดหัด ตามรอยพระบ้าง จิตจะได้รู้จักทุกข์ เบาบางจากทุกข์ ..เค้าก็มองไม่เห็น ยิ่งมาบอกให้สละปัจจัยสร้างบุญกุศล วันละเล็กวันละน้อย แค่บาทเดียว มาทำหน้าพระ หิ่งพระน้อยๆ ก็ทำไม่ได้
พอมองดูหิ้งพระ เอ้า ..มีแต่กระกรุด ผ้ายันต์ กุมาร ตุ๊กตา ..ที่เอายึดถือ มันก็เป็นสีดำ ปกคลุมไปหมด ทั่วไปในบ้าน มันก็เลยต้องทุกข์ไปตลอด .บางที่จะทำบุญ ก็ทำกับจิต ที่มีสีดำๆ ก็ได้กรรม กลับมา แล้วก็มาบอกว่า บุญไม่มีจริง ..ก็ทำกับผู้ที่มีกรรม ก็ได้กรรม
เรื่องที่ตอบคำถาม มันวนเวียน กับเรื่องทุกข์ เหตให้มีทุกข์ แล้วก็จะหนีทุกข์ เราก็มองของเราอยู่อย่างนั้น พระท่านบอกว่า มองผู้อื่นน้อยๆ แล้วหันมามองตัวเราเองให้มากๆ แก้ไขตั่วเอง เรามองว่าคนนั้นคนนี้ไม่ดี แล้วเราทำเหมือนเค้ามั้ย มีอารมณ์เหมือนเค้ามั้ย
เมื่อเราเห็นคนนี้นคนนี้ไม่ดี เราก็ตรวจสอบ จิตของเรา ..แก้ไขที่ตัวเราเอง คนไม่ดีในตัวนั้นมีมั้ย เมื่อเราเจอคนไม่ดี ในตัวเรา เราก็ทิ้งมันไป เราหานิสัยของคนดี เอามาใช้ นั่น คือ การจับต้นค้นตน เพื่อให้กรรมนั่นน้อยลงไป เราก็ทำตามเยี่ยงอย่างของคนดี ที่มีสติปัญญา แก้ไขนิสัยเวรกรรมของตนเอง ไม่ได้ไปแก้ไขที่ผู้อื่น ..หากเรารู้จักคำว่าทุกข์ ของจิต เรามองดูใคร เป็นเยี่ยงอย่าง เพื่อใช้กายวาจาใจ ..หลบหลีกเวรกรรม ด้วยสติของตนเอง ที่รู้จักกรรม ก็หนีกรรม รู้จักธรรม เราก็อาศัยกายนี้ สร้างบุญกุศลบารมี ..
แล้วเรื่องคนมีกรรม ที่จมอยู่กับโคลนตม พอมีใครพูด เรื่องราวสร้างบุญกุศล ..กรรมเค้่ปิดหูปิดตา พาหนี ..ไปหากรรม..เพิ่มพูนกรรมให้มากขึ้น แล้วมาปลดเปลื้องทุกข์ เดืนในเส้นทางดับเหตุให้ทุกข์ บางก็พูดไป ..มรรคแปด อริยะมรรค ..พูดได้ .แล้วใช้กายวาจาใจอย่างไรกัน ให้อยู่ในเส้นทาง ..ที่ว่า นิโรธมรรค ..ที่ว่า สะสมอยู่กับธาตุทั้งสี่ ที่ประกอบกายให้จิตอาศัย
โฆษณา