Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BeautyInvestor
•
ติดตาม
17 ก.พ. เวลา 23:48 • หุ้น & เศรษฐกิจ
🔥 สัญญาณฟื้นตัวธุรกิจเทคฯ จีน หลังประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พบ “แจ็ค หม่า” และผู้ประกอบการชั้นนำ🔥
ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีเอกชนในจีนเจอ “มาตรการกวาดล้าง” หรือการกำกับดูแลที่เข้มข้นจากรัฐบาล แต่ตอนนี้นักลงทุนกำลังเชื่อว่าบรรยากาศเคร่งครัดดังกล่าวอาจกำลังจะสิ้นสุดลง หลังประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้จัดประชุมกับผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา, เหริน เจิ้งเฟย จากหัวเว่ย, เล่ย จุน จากเสียวหมี่ และ หวัง ซิง จากเมถวน เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา
นิคกี้จะมาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาคเทคโนโลยีจีนตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำไมนักลงทุนถึงมองว่าการกวาดล้างเทคฯ ใกล้จบรอบ และเพราะเหตุใดการง้อภาคเอกชนจึงสำคัญยิ่งสำหรับจีนในเวลานี้
1️⃣ มาตรการกวาดล้างเทคโนโลยีจีนเริ่มต้นอย่างไร
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2020 เมื่อ แจ็ค หม่า วิพากษ์วิจารณ์ระบบการเงินและหน่วยงานกำกับดูแลของจีนบนเวทีหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ จนทำให้ทางการจีนยกเลิกการนำหุ้นเข้าตลาด (IPO) ของแอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) แบบกะทันหัน ซึ่งเดิมทีเตรียมจะเป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น
ก่อนจะตามมาด้วยการตรวจสอบและออกมาตรการคุมเข้มในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การสอนพิเศษออนไลน์ วิดีโอเกม ฟินเทค ฯลฯ โดยได้กระทบบริษัทใหญ่ๆ เช่น Alibaba, Tencent, และ Didi จนทำให้มูลค่าหุ้นและผลประกอบการของหลายเจ้าได้รับผลกระทบหนัก
ช่วงนั้น ผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพในจีนหลายคนปรับตัวด้วยการก้าวถอยออกจากสปอตไลต์ และบริจาคเงินก้อนใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” (Common Prosperity) ของรัฐบาล
2️⃣ สัญญาณผ่อนคลาย: ทำไมนักลงทุนถึงมองว่าการกวาดล้างใกล้สิ้นสุด
👉🏻 แรงกระเพื่อมในตลาดหุ้น: ก่อนการประชุมกับประธานาธิบดีสี ไม่นาน ดัชนี Hang Seng Tech ในตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 สะท้อนความหวังว่ารัฐบาลจะ “ผ่อนมือ” จากมาตรการเข้มงวด
👉🏻 การประชุมเชิงสัญลักษณ์: ภาพประธานาธิบดีสี กำลังจับมือกับผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังอย่าง แจ็ค หม่า และผู้บริหารระดับแนวหน้าคนอื่นๆ ถูกตีพิมพ์ผ่านสื่อรัฐอย่างเปิดเผย ถือเป็นสัญญาณทางการเมืองที่ทรงพลังว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนภาคเอกชนมากขึ้น
👉🏻 นโยบายภาครัฐที่ปรับตัว:
- นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ทางการยอมให้ DiDi กลับมาเปิดรับผู้ใช้งานใหม่ได้อีกครั้งหลังแอปถูกถอดจากสโตร์
- กรณี Ant Group ก็ถูกปรับ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1 พันล้านเหรียญ) เพื่อยุติการสอบสวนยาวนาน 3 ปี
- เดือนสิงหาคม 2024 ทางการตัดสินว่า Alibaba ได้ปรับปรุงพฤติกรรมทางการตลาดจนพ้นข้อกล่าวหาเรื่องผูกขาด
- เดือนกันยายน 2024 Alibaba ยอมให้ลูกค้าใช้ WeChat Pay ของ Tencent ที่หน้าเช็คเอาต์ โดยไม่บังคับเฉพาะ Alipay ของตนเองอีกต่อไป
ทั้งหมดนี้ชี้ว่า แม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า “ยุติกวาดล้าง” แต่เริ่มแสดงท่าที “ผ่อนปรน” และสนับสนุนธุรกิจเอกชนให้กลับมาเป็นฟันเฟืองสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
3️⃣ ทำไมรัฐบาลจีนจึงต้องเปลี่ยนท่าที
1. เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ: บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงเป็นแหล่งจ้างงานและสร้างนวัตกรรมสำคัญ รัฐบาลต้องการให้เอกชนช่วยฟื้นเศรษฐกิจที่ยังมีปัญหาทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้รัฐบาลท้องถิ่น และปัญหาการว่างงานของคนรุ่นใหม่
2. ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics): จีนต้องการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และชิปเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductors) ท่ามกลางการกีดกันทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ การจะพึ่งพารัฐเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การสนับสนุนภาคเอกชนจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
3. ตัวอย่างความสำเร็จ: ดีปซีค (DeepSeek) สตาร์ทอัพ AI สัญชาติจีน พัฒนาโมเดล AI แบบเปิด (Open-Source) ที่ท้าทายผู้พัฒนาระดับโลก และสามารถทำได้แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงชิปขั้นสูงจากสหรัฐฯ รัฐบาลจึงเล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเอกชนยังมีศักยภาพสูง
4️⃣ สี จิ้นผิง พบผู้ประกอบการ: เนื้อหาสำคัญที่ส่งสัญญาณหนุนเอกชน
👉🏻 ยืนยันสนับสนุนภาคเอกชน: ในการประชุมวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสีให้คำมั่นว่าจะช่วยลดค่าธรรมเนียมและค่าปรับที่ “ไม่เป็นธรรม” พร้อมสร้างสนามการแข่งขันให้เท่าเทียมยิ่งขึ้น
👉🏻 กระตุ้นความเชื่อมั่น: ประธานาธิบดีสีให้กำลังใจผู้ประกอบการ “เชื่อมั่นในอนาคต” และเน้นว่าปัญหาที่พบเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” เท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไม่หยุดพัฒนาธุรกิจ
🤵♂️ ผู้บริหารสำคัญที่เข้าร่วมงาน:
- แจ็ค หม่า (Alibaba)
- เหริน เจิ้งเฟย (Huawei)
- เล่ย จุน (Xiaomi)
- หวัง ซิง (Meituan)
- ม้า ฮว่าเถิง หรือ โพนี่ หม่า (Pony Ma) (Tencent)
- เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) แห่ง DeepSeek
- และผู้เล่นในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่าง บีวายดี (BYD) และ CATL
แม้ตลาดหุ้นจีนผันผวนในช่วงวันประชุม แต่นักวิเคราะห์มองว่านี่คือ “สัญญาณอันแข็งแกร่ง” จากผู้นำสูงสุด ที่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจเอกชน
5️⃣ จีนจะกลับไปสู่อดีตที่ “ไร้การกำกับ” หรือไม่
👉🏻 ยังคงกำกับเข้ม: รัฐบาลจีนยังคงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ยุค “สร้างความร่ำรวยอย่างสุดโต่ง” และ “ใช้ชีวิตหรูหรา” ของบรรดามหาเศรษฐีเทคฯ หวนคืนกลับมา
👉🏻 วางกรอบความคุมเข้มใหม่: ตั้งแต่การควบคุมข้อมูลผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล การป้องกันการแข่งขันแบบ “บีบคู่แข่ง” (เช่น บังคับให้เลือกจ่ายเงินผ่านระบบของตน หรือฮุบข้อมูลอย่างไม่มีขอบเขต) ไปจนถึงการวางข้อกำหนดด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) เพื่อป้องกันความเสี่ยงระดับชาติ
1
👉🏻 โฟกัสเทคโนโลยียุทธศาสตร์: รัฐบาลให้ความสำคัญกับ AI, คลาวด์คอมพิวติ้ง และเซมิคอนดักเตอร์ มากกว่าธุรกิจออนไลน์สไตล์ “คอนซูเมอร์” อย่างอีคอมเมิร์ซและเกม ชี้ว่าเทรนด์ในอนาคตของบริษัทใหญ่ๆ จะขยับไปทุ่มทุนในนวัตกรรมเชิงลึกมากขึ้น
🇨🇳 แนวโน้มมูลค่าบริษัทเทคฯ จีน
ก่อนจะเกิดการกวาดล้างในปี 2020 Alibaba, Tencent และ Ant Group เคยมีมูลค่ารวมกันสูงถึงเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าบริษัทของรัฐยักษ์ใหญ่อย่าง ICBC เสียอีก
อย่างไรก็ตาม หลังการกวาดล้าง Alibaba สูญมูลค่าตลาดไปกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Tencent เสียไปกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบจากจุดสูงสุดราวช่วงก่อนปี 2021) แม้ทั้งคู่จะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในปี 2022 แต่ก็ยังไม่กลับไปท็อปฟอร์มแบบอดีต
การพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ล่าสุดอาจทำให้นักลงทุนกล้าเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น แต่อาจจะไม่ถึงจุดที่เทียบเท่าช่วงพีก ก่อนภาครัฐเข้ามาควบคุมอย่างจริงจังค่ะ
🚧 ทางสองแพร่งระหว่าง “ปล่อยเสรี” และ “คุมเข้ม”
1. ภาคเอกชนยังจำเป็นต่อเศรษฐกิจจีน: ทั้งในแง่การจ้างงาน การสร้างนวัตกรรม และการช่วยรัฐบาลผลักดัน GDP
2. รัฐบาลไม่อยากเสี่ยงเสียเสถียรภาพ: จึงยังต้องรักษาการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อควบคุมความผันผวน และลดการเกิดสังคมสองขั้ว (ความเหลื่อมล้ำ) อย่างรุนแรง
3. ทิศทางอนาคต: “ควบคุมแต่ให้เสรีภาพบางส่วน”: จีนจะเน้นส่งเสริมเทคโนโลยียุทธศาสตร์ เช่น AI และชิป มากกว่าจะหวังพึ่งธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือเกมอย่างเดียว
4. สัญญาณบวกต่อนักลงทุน: การประชุมที่มีประธานาธิบดีสีนั่งหัวโต๊ะ เป็นภาพยืนยันว่าจีนจะไม่ทอดทิ้งธุรกิจเอกชน แต่ความผ่อนคลายครั้งนี้จะมากหรือน้อย ต้องรอติดตามมาตรการเชิงรูปธรรม
ท้ายที่สุด การกลับมาของแจ็ค หม่า ต่อหน้าสาธารณชนเคียงข้างผู้นำสูงสุด ถือเป็นหมุดหมายที่บ่งบอกว่าจีนได้กลับมามองว่าภาคเอกชนเป็นพันธมิตรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสู้ศึกเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ต่อไป
แม้จะยังไม่ใช่ “กลับสู่ยุคทอง” แบบไร้การกำกับเหมือนในอดีต แต่สำหรับนักลงทุนทั่วโลก นี่คือสัญญาณว่าความเสี่ยงเชิงนโยบาย (Policy Risk) ต่อบริษัทเทคฯ จีนอาจ “ผ่อนคลาย” ลงจากช่วงก่อนอย่างมาก
🎯 ความเห็นส่วนตัวของนิคกี้
เคยมีคนถามนิคกี้เมื่อปีที่แล้วว่า ทำอย่างไรจีนถึงจะพลิกเศรษฐกิจได้ ตอนนั้นนิคกี้ได้ตอบไปว่า 1. อุ้มอสังหาฯ 2. ง้อบริษัทเทคฯ และ 3. ออกนโยบายการคลังที่ตรงจุด
ตอนนี้เราเริ่มเห็นจีนทำข้อ 1 โดยการเข้าไปอุ้มบริษัทอสังหาฯอย่าง China Vanke แล้ว และทำข้อ 2 โดยการตามง้อบริษัทเทคฯ ส่วนข้อ 3 ยังไม่ได้มีเห็นออกมา โดยเราน่าจะต้องไปรอลุ้นกันอีกทีในการประชุมใหญ่เดือนมีนาคม
ทำให้ ณ จุดนี้ ดูเหมือนว่า จีนกำลังแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้นแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามการที่ตลาดหุ้นจีนจะกลับไปยิ่งใหญ่เหมือนเดิมนั้นยังคงห่างไกลอยู่ดี เพราะปัญหาเชิงโครงสร้างยังอยู่ และคงไม่ได้แก้ปัญหาได้ในเร็ววันนี้ โดยเราเห็นได้จากตลาดหุ้นที่เป็นแบบ K Shape
หรือพูดอีกแบบคือ หุ้นเทคฯจีน วิ่งขึ้นไปอยู่คนเดียวเลย และทอดทิ้งกลุ่มอื่นๆไว้เบื้องหลัง
นอกจากนี้เอง เรายังไม่ทราบว่าทรัมป์จะกลับมาทุบหุ้นจีนเมื่อไหร่ รวมถึง สี จิ้นผิง เองจะกลับมาทุบบริษัทตัวเองอีกหรือไม่หากสุดท้ายบริษัทเหล่านี้มีอำนาจสูงขึ้นจากการทำธุรกิจ AI เพราะสุดท้ายแล้ว เราต้องอย่าลืมนะคะว่า จีน ปกครองด้วยระบบอะไร และในระบบนี้นี่แหละที่จะไม่ยอมให้บริษัทเอกชนใหญ่กว่ารัฐบาลค่ะ
คำแนะนำยังเหมือนก่อนหน้านี้คือ Follow Buy หุ้นเทคฯ จีน ได้ แต่เป็นแบบเก็งกำไรเท่านั้น เฝ้าให้ดีๆ เพราะ ปรับตัวขึ้นมาบนโมเมนตัม แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้ตามมาด้วย ดังนั้นให้จับตา P/E ของหุ้นเหล่านี้เทียบกับ Big Tech ของสหรัฐฯให้ดีๆค่ะ
🇺🇸 Big Tech FWD P/E
Apple 33.79x
Nvidia 47.21x
Meta 28.3x
Microsoft 30.9
Alphabet 20.4
Amazon 32.93
🇨🇳 China Tech FWD P/E
BYD 25.06x
CATL 23.06x
Meituan 22.6x
Tencent 20.69x
Alibaba 14.33x
ปล. จีนน่าจะทำธุรกิจ AI ได้เป็นหลักแค่ในจีนเท่านั้น เพราะยังคิดว่ารัฐบาลของประเทศอื่นๆ น่าจะไม่ยอมให้ใช้ AI จีนแน่ๆ เพราะดันเล่นส่งข้อมูลกลับไปให้รัฐบาลจีน ส่วนจีนเองก็คงไม่ยอมให้คนจีนให้ AI ของสหรัฐฯ เช่นกันค่ะ ดังนั้น P/E ของทั้ง 2 ที่จะเทรดไม่เท่ากันแน่ๆค่ะ แต่จะต่างกันเท่าไหร่ คงต้องไปลุ้นกันเองค่ะ
หุ้น
การลงทุน
การเงิน
5 บันทึก
15
1
5
15
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย