18 ก.พ. เวลา 07:42 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Girls on Wire การดิ้นรนของสตันท์วูแมน บาดแผลในครอบครัว และอุตสาหกรรมที่ไร้ความปรานี

หนังที่ผมอยากดู
Girls on Wire หนังจีนที่เปิดตัวในเทศกาลหนังเบอร์ลินปีนี้ในสายการประกวดเมื่อวานนี้ ซึ่งได้รับเสียงวิจารณ์พอสมควร ก่อนที่จะเข้าฉายจริงในจีน 8 มีนาคม 2568 อ่านบทวิจารณ์สื่อตะวันตกแล้วน่าสนใจ โดยเฉพาะประเด็นที่หนังสะท้อนมุมของสตันท์แมนในวงการหนังจีน ผมยังไม่ได้ดูหนังนะ แต่เก็บความเอามาให้อ่านกัน
Girls on Wire คือภาพยนตร์ที่แฝงไปด้วยความตึงเครียดและบรรยากาศอันเย็นชา ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย วิเวียน ฉวี ผู้เคยฝากผลงานไว้ใน Angels Wear White (2017) และเคยอำนวยการสร้าง Black Coal, Thin Ice (2014) ซึ่งได้รับรางวัลหมีทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน ด้วยแนวทางที่คุ้นเคยของเธอในการขุดลึกลงไปในสังคมจีนที่เปราะบางและไม่เป็นธรรม Girls on Wire จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่หนังระทึกขวัญเกี่ยวกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และแก๊งอาชญากรรม แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของบาดแผลทางอารมณ์ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น
เส้นทางที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและเลือดของสตันท์วูแมน
เรื่องราวของ Girls on Wire ดำเนินไปผ่านสายตาของ ฟางตี้ (เหวินฉี) หญิงสาวที่ทำงานเป็นสตันท์ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์จีน เธอใช้ร่างกายแลกกับค่าจ้างเพื่อชดใช้หนี้ให้กับ มาดามหวังหัวหน้ามาเฟียที่ควบคุมวงการเบื้องหลังของอุตสาหกรรมหนังนี้ ฟางตี้ไม่ได้เป็นแค่แรงงานราคาถูกที่ถูกใช้แล้วทิ้ง แต่เป็นภาพแทนของชนชั้นล่างในระบบที่ไม่เคยเห็นใจใคร
ฉากเปิดของภาพยนตร์พาเราเข้าสู่โลกของเธอทันที ฟางตี้แต่งตัวเป็นนินจาในชุดดำ โหนสลิงกระโดดไปมาบนหลังคาของเมืองจำลองที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ แม้จะเป็นฉากที่ต้องใช้ความสามารถสูง แต่ใบหน้าของเธอกลับไม่เคยถูกบันทึกไว้บนจอภาพยนตร์ เพราะสุดท้ายแล้ว ภาพโคลสอัปจะถูกแทนที่ด้วยดาราดังผู้ไม่เคยเสี่ยงชีวิตจริง
ฟางตี้ต้องเผชิญกับฉากอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า หนึ่งในฉากที่สะเทือนอารมณ์ที่สุด คือฉากใต้น้ำที่เธอถูกบังคับให้กลั้นหายใจเป็นเวลานานเพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์แบบ ทั้งที่สภาพน้ำในถังนั้นสกปรกและเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล แต่เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เธอเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ ในอุตสาหกรรมที่มองว่าคนอย่างเธอเป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้
การกลับมาของลูกพี่ลูกน้อง และปมในครอบครัวที่ยังไม่จางหาย
เรื่องราวยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อฟางตี้ได้พบกับ เทียนเทียน (หลิวฮ่าวชุน) ลูกพี่ลูกน้องที่เธอไม่ได้พบหน้ามานานถึงห้าปี เทียนเทียนไม่ได้กลับมาหาเธอด้วยเหตุผลปกติ แต่เพราะเธอติดหนี้มาเฟียจากการเข้าไปพัวพันกับยาเสพติด เทียนเทียนโตมากับพ่อที่ติดยา และครอบครัวที่เต็มไปด้วยปัญหา การกลับมาของเธอทำให้ฟางตี้ต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่เธอพยายามลืม ซ้ำร้ายเทียนเทียนยังำลั้งมือฆ่ามาเฟียเสียด้วย
หนังใช้แฟลชแบ็กเพื่อเผยให้เห็นปมในวัยเด็กของสองสาว แม่ของฟางตี้(เผิงจิง) ต้องทำงานหนักเพื่อประคับประคองธุรกิจโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า ส่วนพ่อของเทียนเทียน(โจวยู่) เป็นคนไม่เอาไหนที่ใช้เงินไปกับยาเสพติด ทำให้เด็กสองคนต้องพึ่งพากันเอง แต่แม้พวกเธอจะเคยใกล้ชิดกันมากแค่ไหน แต่เมื่อเติบโตขึ้นพวกเธอกลับกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
การพบกันครั้งแรกของฟางตี้และเทียนเทียนเต็มไปด้วยความอึดอัด เทียนเทียนพยายามขอให้ฟางตี้ช่วยเหลือ แต่ฟางตี้ปฏิเสธ เธอไม่ต้องการให้ชีวิตของเธอพัวพันกับปัญหาของญาติที่เธอไม่ได้ติดต่อมานาน แต่สุดท้ายแล้ว สายสัมพันธ์ในอดีตกลับดึงพวกเธอกลับเข้าหากัน
วงการภาพยนตร์ที่เป็นได้ทั้งเวทีและกับดัก
นอกจากเรื่องราวของสองพี่น้อง Girls on Wire ยังตั้งคำถามกับอุตสาหกรรมบันเทิงที่เต็มไปด้วยการกดขี่ ฉวีเสียดสีวงการนี้ผ่านฉากออดิชันของฟางตี้ เธอพยายามเลื่อนชั้นจากสตันท์เป็นนักแสดงหลัก แต่บทที่เธอได้รับกลับเป็นบทที่ไร้สาระจนเธอหลุดหัวเราะกลางออดิชัน ฉากนี้สะท้อนถึงข้อจำกัดของคนที่มาจากชนชั้นแรงงานในอุตสาหกรรมที่ถูกเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
อีกฉากหนึ่งที่แฝงอารมณ์ขันแต่ก็ดูไร้จุดหมาย คือฉากที่แก๊งมาเฟียหลงเข้าไปในกองถ่ายและถูกจับแต่งตัวให้เป็นตัวประกอบในฉากสงคราม แม้จะเป็นฉากที่ให้ความรู้สึกขบขัน แต่กลับไม่สอดคล้องกับบรรยากาศตึงเครียดของเรื่องโดยรวม
การดิ้นรนเพื่ออิสรภาพ และบทสรุปที่ไม่อาจคาดเดา
ฟางตี้และเทียนเทียนถูกดึงเข้าสู่เกมอันตรายที่พวกเธอไม่ได้เลือกเล่น เมื่อแก๊งมาเฟียเริ่มไล่ล่าทั้งคู่ หนังค่อยๆ คลี่คลายไปสู่จุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ การต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ฉวีถ่ายทอดฉากแอ็กชันได้อย่างสมจริงและสะเทือนใจ โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์ที่เต็มไปด้วยพลัง
Girls on Wire มีจุดแข็งในด้านอารมณ์และการวิพากษ์สังคม ผู้กำกับฉวีพยายามผสมผสานดราม่าครอบครัวเข้ากับหนังอาชญากรรม แต่บางครั้งมันกลับขัดแย้งกันเอง อารมณ์ขันที่แทรกเข้ามาในบางช่วงทำให้ความเข้มข้นของเรื่องลดลง
Girls on Wire อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นงานที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน มันเป็นทั้งภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมบันเทิงที่ไร้ความปรานีและเรื่องราวของพี่น้องที่ต้องต่อสู้กับอดีตของพวกเธอ ฉวีใช้ภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อบอกเล่าถึงผู้หญิงที่ถูกทำให้มองไม่เห็น ทั้งในโลกของวงการบันเทิงและในครอบครัวที่บอบช้ำ
แม้ว่าฟางตี้และเทียนเทียนจะเดินคนละเส้นทาง แต่บาดแผลจากอดีตก็ยังตามหลอกหลอนพวกเธออยู่เสมอ Girls on Wire ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนว่าพวกเธอจะเอาชนะบาดแผลเหล่านั้นได้หรือไม่ แต่มันตั้งคำถามที่เจ็บปวดว่าเราจะสามารถหลุดพ้นจากอดีตของตัวเองได้จริงหรือ
เก็บความจาก The Guardian และ Variety
โฆษณา