19 ก.พ. เวลา 04:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

โชคชะตา ปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม ในโลกการลงทุน

เราอาจจะเคยคิดกับตัวเองอยู่บ้างว่า ความสำเร็จในชีวิตของเรานั้น ล้วนมาจากความสามารถของเราเอง
แต่ขอให้เราลองถามตัวเอง ดูอีกสักครั้งว่า
“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ ?”
ในชีวิตที่ผ่านมาของเรา เราน่าจะต้องเคยเจอคนเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา แล้วเราเกิดความรู้สึกว่า “คนคนนี้เก่งมากเลย แต่ทำไมชีวิตของเขาถึงไม่ได้ก้าวหน้าเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับความสามารถที่มี”
อย่างเช่น เพื่อนในสมัยเด็กที่เรียนเก่งมาก แต่ปัจจุบันนี้กลับไม่ได้เติบโตก้าวหน้านัก เมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่น ๆ
แน่นอนว่า มีอยู่หลายเหตุปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของชีวิตคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถของเขาเอง, ความขยัน หรือกระทั่งทัศนคติ
แต่ก็มีอยู่ปัจจัยหนึ่ง ที่คนส่วนใหญ่อาจจะลืมนึกถึงไป แต่จริง ๆ แล้ว กลับเป็นตัวแปรที่สำคัญไม่แพ้ปัจจัยอื่น ๆ ที่กล่าวมาเลย
สิ่งนั้นเรียกว่า “โชคชะตา”
เรื่องของโชคชะตานั้น แทรกซึมอยู่ในทุก ๆ อณูของชีวิต แม้กระทั่งในเรื่องการลงทุนด้วย
แล้วเพราะอะไร เรื่องโชคชะตา ถึงส่งผลต่อการลงทุนของเรา มากกว่าที่คิด ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
 
เราน่าจะเคยเห็นเรื่องราวทำนองนี้กันมาบ้าง
สมมติมีนักลงทุนอยู่ 2 คน มีความรู้ความสามารถพอ ๆ กัน แถมยังขยันพากเพียร ในการหาหุ้นเปลี่ยนชีวิตเป็นอย่างมากเหมือนกัน
ทั้ง 2 คนทำการบ้านเกี่ยวกับหุ้นที่จะลงทุนคนละตัว มาอย่างดี พอคิดว่าเห็นเป็นโอกาสที่น่าจะทุ่มลงทุนเพื่อเปลี่ยนชีวิตได้ ทั้ง 2 คนจึงได้ทุ่มลงทุนแบบหมดหน้าตัก พร้อมทั้งใช้มาร์จิน กู้เงินโบรกเกอร์มาลงทุนอย่างเต็มที่
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ คนหนึ่งเปลี่ยนชีวิตจากคนธรรมดา กลายเป็นคนที่ร่ำรวยมาก เป็นสุดยอดนักลงทุน ที่คนรุ่นหลังต่างอยากจะเจริญรอยตาม
แต่กลับกันอีกคนหนึ่ง หมดตัวแถมเป็นหนี้ พร้อมหายไปจากตลาดหุ้นตลอดกาล
ซึ่งก็ยังดีถ้าหากเขาหายไปเพราะเข็ดขยาดกับการลงทุนแล้ว แต่สำหรับบางคนที่พบเจอกับเหตุการณ์คล้ายนักลงทุนคนนี้ ก็มีที่หายไปเพราะไม่อยากจะเผชิญกับความทุกข์ดังกล่าวบนโลกใบนี้อีกต่อไป..
นักลงทุนทั้ง 2 คนนี้มีอะไรแตกต่างกันบ้างหรือ ในเมื่อทั้ง 2 คน ก็แทบจะทำในสิ่งเดียวกัน นั่นคือการลงทุนด้วยวิธีเสี่ยงสูงอย่างการเทหมดหน้าตัก ด้วยกันทั้งคู่
แต่คนหนึ่งประสบความสำเร็จกลายเป็นที่นับหน้าถือตา แต่อีกคนกลับถูกผู้คนลืมเลือนไปตามกาลเวลา
สิ่งนี้นำไปสู่อคติในเรื่องการลงทุนอยู่ 2 แบบ ที่จะบั่นทอนนิสัยการลงทุนที่ดีของเรา
1. อคติของผู้อยู่รอด (Survivorship Bias)
มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักจะถือนักลงทุนประเภทที่ 1 เป็นแบบอย่าง ทั้งที่นักลงทุนเหล่านี้ที่ถือว่าเป็นคนส่วนน้อยมาก ๆ และโอกาสที่จะทำแบบนี้ได้ ก็ถือว่ายากมาก ๆ
แต่ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ยังมีนักลงทุนที่ทำแบบเดียวกันนี้อีกจำนวนมาก แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่ถึงฝั่งฝัน จนต้องหายไปจากตลาดหุ้น
การทำตามนักลงทุนที่เหลือรอดเพียงหยิบมือ จากการลงทุนด้วยวิธีที่เสี่ยงสูง ถือเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะไม่มีอะไรจะการันตีได้เลยว่า เราเองจะเป็นหนึ่งในนั้นได้เหมือนกัน
เพราะอาจจะมีปัจจัยเบื้องหลังอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึง โชคชะตา ที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นอีกครั้งกับเรา
ทำให้ก่อนจะลงทุนตามใคร ให้นึกถึงเวลาที่รายการทีวีขึ้นประโยคว่า “นี่เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัว ห้ามลอกเลียนแบบ” เพราะการลงทุนที่ได้ผลดีกับอีกคนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลกับเราเช่นเดียวกัน
2. อคติจากความมั่นใจมากเกินไป (Overconfidence Bias)
1
สมมติว่าถ้าหากเราโชคดีได้เป็นหนึ่งในเหล่าผู้อยู่รอดของการลงทุนแบบเทหมดหน้าตัก แน่นอนว่าสิ่งที่จะเข้ามาครอบงำจิตใจของเราก็คือ ความมั่นใจอันแสนล้นปรี่
ตามด้วยการบอกตัวเองว่า “เพราะฉันเหนือกว่าคนอื่นไง ฉันจึงทำสิ่งเหล่านี้ได้” และถ้ายิ่งเราได้เจอความสำเร็จมากเข้า ๆ เราก็จะยิ่งรู้สึกเหิมเกริมยิ่งขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม การที่เราประสบความสำเร็จหลายครั้ง ไม่ได้แปลว่า เรามีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น มีแต่ตัวเราที่คิดไปเอง
เหมือนการโยนเหรียญออกก้อยติดกัน 6 ครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งที่ 7 มันจะต้องออกก้อยอย่างแน่นอน
ซึ่งเราเองไม่มีทางรู้ได้เลยว่า โชคดีของเราจะหมดลงวันไหน จนทำให้ทุกสิ่งที่เราได้สร้างมา ก็พังทลายลง และกลับจากความสวยงามเป็นความมืดมน..
เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นวนไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยู่ตลอดชีวิตของคนเรา แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่คนส่วนมาก ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันสักเท่าไร อาจจะเป็นเพราะ มันเป็นเรื่องที่ดูเข้าใจยากเกินไปก็ได้
แต่ก็มีอยู่หลายครั้ง ที่โชคชะตาที่จะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล ก็มักจะเข้ามาแบบแนบเนียน ไม่ให้เราได้ตั้งตัว แต่ค่อย ๆ ส่งผลต่อชีวิตเรา ไปทีละเล็กทีละน้อย จนสุดท้ายนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในปลายทาง
เรื่องแบบนี้ ก็มีตัวอย่างจากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ อยู่เหมือนกัน เช่น กรณีของคุณ Peter Lynch ที่ก่อนจะได้มาทำงานในแวดวงการลงทุน เขาเคยทำงานเป็นแคดดีอยู่ที่สนามกอล์ฟมาก่อน
โดยในตอนนั้น เขาได้เป็นแคดดีให้กับประธานบริษัท Fidelity และประธานบริษัทคนเดียวกันนี้ ก็ได้ชวนคุณ Peter Lynch มาทำงานด้วย
และนั่นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานผู้จัดการกองทุนที่ “เหนือกว่าวอลล์สตรีต..”
เพราะพอคุณ Peter Lynch ได้เข้ามาทำงานที่ Fidelity เขาก็ได้เติบโตทางหน้าที่การงาน กลายมาเป็นผู้จัดการกองทุน ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในโลก ให้การนับถือ
พอลองคิดดูอีกมุมแล้ว เรื่องนี้ก็ดูเป็นเรื่องที่ตลกดี บนโลกนี้มีแคดดีอยู่มากมาย แต่แคดดีที่กลายมาเป็นผู้จัดการกองทุนระดับตำนาน อาจจะมีอยู่แค่คนเดียวบนโลกเท่านั้น
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาทำนองนี้ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นอยู่กับแค่นักลงทุนต่างประเทศ แต่ก็มีเกิดขึ้นกับนักลงทุนชาวไทยอยู่ไม่น้อย
เช่น นักลงทุนคนหนึ่ง ที่เรื่องราวของเขาอาจจะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก็ทำให้เราได้คิดเกี่ยวกับเรื่องชีวิตในอีกมุม
1
ในตอนช่วงที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนใหม่ ๆ เขายังไม่มีความรู้ แต่ก็ได้ไปยืมเงินคุณแม่มาลงทุนเป็นเงิน 100,000 บาท โดยได้นำไปลงทุนในหุ้นปั่นตามคำเชียร์ของรุ่นพี่
แต่ผลลัพธ์จากการลงทุนครั้งนั้น ก็เดาได้ไม่ยาก นั่นก็คือ “การขาดทุนอย่างหนัก”
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนท่านนี้ ก็ยังไม่ได้ยอมแพ้แล้วเลิกลงทุนแต่อย่างใด เขาเลือกที่จะเพียรพยายามหาความรู้ และจะกลับเข้ามาลงทุนใหม่ เพื่อเอาเงินที่สูญเสียไป กลับคืนมาให้ได้
สิ่งที่นักลงทุนท่านนี้ทำก็คือ ได้เดินเข้าไปที่ร้านหนังสือเพื่อจะหาหนังสือการลงทุนสักเล่ม
โดยในระหว่างที่ยืนอยู่หน้าชั้นวางหนังสือ เขาก็ได้โทรศัพท์ไปหารุ่นพี่ที่คณะ เพื่อให้ช่วยแนะนำหนังสือการลงทุนให้หน่อย
ทางฝั่งรุ่นพี่ ก็ไม่ได้ให้คำตอบที่เป็นประโยชน์อะไรกลับมาเลย แต่ในจังหวะนั้น หลังจากที่นักลงทุนท่านนี้วางโทรศัพท์ลง ก็มีลุงแก่ ๆ คนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วบอกกับเขาว่า
“น้อง ๆ หนังสือที่น้องตามหาอยู่ พี่หามาให้แล้วนะ”
และนั่นเองก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตในโลกการลงทุน ที่ทำให้นักลงทุนท่านนี้ ได้รู้จักกับแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
เพราะในช่วงระยะเวลาประมาณ 9 ปีหลังจากนั้น เขาสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุน แบบทบต้น ได้เฉลี่ยถึงปีละ 100%
และได้กลายเป็นคนที่มีเงินเป็น 1,000 ล้านบาทได้ ตอนอายุประมาณ 30 ปีเท่านั้น..
จริง ๆ แล้ว เรื่องราวแบบนี้ ยังมีตัวอย่างให้หยิบยกมาเล่า ได้อีกมากมาย มันอาจจะดูเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่รู้ว่าเหตุผลเบื้องหลังของเรื่องแบบนี้ คืออะไร
ทำให้ในบางครั้งเราก็อาจจะมองว่า “บางทีโชคชะตา อาจจะกำหนดมาแล้วตั้งแต่แรกก็ได้ว่า คนคนนี้จะต้องมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ”
อย่างไรก็ตาม การจะพูดว่า “ถึงจะพยายามมากแค่ไหน แต่ถ้าโชคชะตาไม่เข้าข้าง อย่างไรชีวิตนี้ก็คงจะไปได้ไม่ไกลหรอก”
ก็เป็นเรื่องที่ดูจะใจร้ายต่อคนที่ตั้งอกตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี กันเกินไปหน่อย
ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าในชีวิตนี้ของเรา โชคชะตาจะเลือกเราหรือไม่ และไม่ว่าจะเลือกเราในตอนไหน
หนทางที่ดูจะเหมาะสมและเรียบง่ายที่สุดสำหรับทุกคน ที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็คงจะเป็น “การทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำในตอนนี้ อย่างดีที่สุดต่อไป”
ใช้ชีวิตให้ดี ด้วยความไม่ประมาท และอย่ามั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป จนทำให้ลืมมองความเสี่ยงในชีวิตอย่างรอบคอบ
หลักการแบบนี้ นอกจากจะเป็นหลักสำคัญในการใช้ชีวิตแล้ว ก็ยังสามารถนำมาใช้กับการลงทุนได้ดี ไม่แพ้กันเลย
และไม่ว่าโชคชะตา หรือปัจจัยภายนอกจะสร้างผลกระทบต่อชีวิตของเราขนาดไหน แต่พอมองจากด้านปัจจัยภายใน คือสิ่งที่เราจะต้องคิด ต้องทำ รวมถึงการควบคุมตนเอง
เหมือนกับ ทางสายกลาง คือความไม่สุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่ง แบบที่พระพุทธองค์ทรงสอน ที่ดูจะเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด ให้คนทุกคนนำไปใช้ เพื่อเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ต่อจากนี้..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#จิตวิทยาการลงทุน
References
- หนังสือ The Psychology of Money: Timeless lessons on wealth, greed, and happiness (2020) โดย Morgan Housel
- หนังสือ Same as Ever: A Guide to What Never Changes (2023) โดย Morgan Housel
- หนังสือ Fooled by Randomness: The Hidden Role of Chance in Life and in the Markets (2001) โดย Nassim Nicholas Taleb
- หนังสือ The Black Swan: The Impact of the Highly Improbable (2007) โดย Nassim Nicholas Taleb
- หนังสือ The Bed of Procrustes: Philosophical and Practical Aphorisms (2010) โดย Nassim Nicholas Taleb
- หนังสือ One Up On Wall Street: How To Use What You Already Know To Make Money In The Market (1989) โดย Peter Lynch และ John Rothchild
- หนังสือ The Joys of Compounding: The Passionate Pursuit of Lifelong Learning (2019) โดย Gautam Baid
- หนังสือ Thinking, Fast and Slow (2013) โดย Daniel Kahneman
- หนังสือ Outliers: The Story of Success (2008) โดย Malcolm Gladwell
- หนังสือ พุทธธรรม ฉบับเดิม (1995) โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
- หนังสือ ลงทุนเปลี่ยนชีวิต (2018) โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โฆษณา