19 ก.พ. เวลา 03:03 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สแกนหุ้นพื้นฐานดี "ราคาถูกกว่า" ช่วงโควิด-19

ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับปัจจัยกดดันต่อเนื่อง ทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ถดถอย แรงขายจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบกำหนด และหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวที่โดนเทขายจากปัจจัยลบเฉพาะตัว ฉุดดัชนีให้ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก
โดยนับจากต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบันตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน -10.26% ถือเป็นผลตอบแทนที่แย่ที่สุดในโลก อีกทั้งหุ้นบางตัวราคายังปรับลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงที่มีการระบาดของ Covid-19 ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอาจเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่ราคาอยู่ในระดับต่ำ
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า จากต้นปีจนถึงปัจจุบันตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน -10.26% เป็นผลตอบแทนที่แย่ที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับดัชนีหลักของโลกโดยอ้างอิงจาก Bloomberg ณ วันที่ 17 ก.พ. 68 ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ SET Index มีหลากหลายสาเหตุ เช่น
1.การถูก Margin Call นักลงทุนและผู้บริหาร, 2. ปัจจัยลบเฉพาะตัวในหุ้นขนาดใหญ่ อาทิ AOT CPALL CPAXT, 3. แรงขายจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนด โดยมีสถานะคงเหลืออีกราว 1.8 แสนล้านบาท และ 4. ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และได้ย้ายเม็ดเงินไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น
การขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทย และ LTF ที่ครบกำหนดอายุ และยังมีสถานะคงเหลือราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้นไทย ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดหุ้น เป็นสำคัญไม่ได้มีผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จึงประเมินว่าเป็นจังหวะที่ดีของนักลงทุนที่จะเข้าเก็บสะสมหุ้นในจังหวะที่ตลาดหุ้นถูก De-rate ลงมา แต่การคัดสรรหุ้นในสถานการณ์ปัจจุบันต้องเน้นหุ้นที่มี Margin of Safety สูง จึงคัดสรรหุ้นที่กำไรสุทธิปี 2567 เติบโตเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิในปี 2563 ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันตต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกับราคาหุ้น ณ จุดต่ำสุด ในวันที่ 13 มี.ค. 2563 และ เป็นหุ้นที่อยู่ใน SET ภายใต้ Coverage ของฝ่ายวิเคราะห์
เนื่องจากประเมินว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้รับผลกระทบจากสภาพคล่องของตลาดที่ลดลงเป็นสำคัญ จึงมีโอกาสที่จะ Outperform เมื่อนักลงทุนเริ่มกลับมามีความมั่นใจในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ในทางตรงกันข้ามหาก SET Index ยังคงปรับตัวลงต่อ ประเมินว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสที่จะปรับตัวลงน้อยกว่า เนื่องจากมี Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำ และยังมีการเติบโตของกำไรเมื่อเทียบกับปีที่เกิดการแพร่ระบาดของ Covid-19
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ได้กำหนดเกณฑ์คัดเลือก 2 ข้อสำคัญคือ 1. กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 (หากบริษัทฯ ยังไม่รายงานผลประกอบการจะใช้คาดการณ์ของตลาดแทน) ต้องสูงกว่าปี 2563 (ปีที่เกิดการแพร่ระบาด Covid-19) และ 2. ราคาหุ้น (วันที่ 17 ก.พ. 68) ต้องต่ำกว่าจุดต่ำสุดของหุ้นในวันที่ 13 มี.ค. 2563 ซึ่งเป็นวันที่ SET Index ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 969 จุด โดยหุ้นที่น่าสนใจมีดังนี้ BCPG, BJC, CPALL, GUNKUL, HMPRO, M, MAJOR และ SAWAD
สำหรับ BCPG มี EPS ปี 2563 ที่ 0.86 บาทต่อหุ้น ส่วนปี 2567 ยังไม่แจ้งผลประกอบการ ตลาดคาด EPS ที่ 0.94 บาทต่อหุ้น และราคาปัจจุบันยังต่ำกว่าวันที่ 13 มี.ค. 2563 ที่ -24.9%
BJC มี EPS ปี 2563 ที่ 1.01 บาทต่อหุ้น ส่วนปี 2567 ยังไม่แจ้งผลประกอบการ ตลาดคาด EPS ที่ 1.09 บาทต่อหุ้น และราคาปัจจุบันยังต่ำกว่าวันที่ 13 มี.ค. 2563 ที่ -10.8%
CPALL มี EPS ปี 2563 ที่ 1.79 บาทต่อหุ้น ส่วนปี 2567 ยังไม่แจ้งผลประกอบการ ตลาดคาด EPS ที่ 2.68 บาทต่อหุ้น และราคาปัจจุบันยังต่ำกว่าวันที่ 13 มี.ค. 2563 ที่ -10.7%
GUNKUL มี EPS ปี 2563 ที่ 0.03 บาทต่อหุ้น ส่วนปี 2567 ยังไม่แจ้งผลประกอบการ ตลาดคาด EPS ที่ 0.18 บาทต่อหุ้น และราคาปัจจุบันยังต่ำกว่าวันที่ 13 มี.ค. 2563 ที่ -2.2%
HMPRO มี EPS ปี 2563 ที่ 0.40 บาทต่อหุ้น ส่วนปี 2567 ยังไม่แจ้งผลประกอบการ ตลาดคาด EPS ที่ 0.51 บาทต่อหุ้น และราคาปัจจุบันยังต่ำกว่าวันที่ 13 มี.ค. 2563 ที่ -10.9%
M มี EPS ปี 2563 ที่ 0.90 บาทต่อหุ้น ส่วนปี 2567 ยังไม่แจ้งผลประกอบการ ตลาดคาด EPS ที่ 1.58 บาทต่อหุ้น และราคาปัจจุบันยังต่ำกว่าวันที่ 13 มี.ค. 2563 ที่ -56.2%
โฆษณา