19 ก.พ. เวลา 05:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

โอกาสและความหวังของ “เด็กจบใหม่” ในตลาดแรงงาน

ทีดีอาร์ไอ วิเคราะห์ประกาศรับสมัครงาน “เด็กจบใหม่” พบตลาดงานเน้นรับคนมีประสบการณ์ 1-2 ปี ผู้ไม่มีประสบการณ์ เปิดรับเพียง 22% ส่วนใหญ่เป็นงานพื้นฐาน
ทีม Big Data สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดผลวิเคราะห์สถานะความต้องการแรงงาน และทักษะของแรงงานที่นายจ้างต้องการใน “โครงการพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Large Language Models (LLMs) เพื่อการใช้ประโยชน์ในการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงฯ” ซึ่งรวบรวมประกาศรับสมัครงานออนไลน์จาก 23 เว็บไซต์รับสมัครงานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 (1 ต.ค. - 31 ธ.ค.) และวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยพบประกาศรับสมัครงานทั้งสิ้น 221,339 ตำแหน่ง
โอกาสและความหวังของ “เด็กจบใหม่” ในตลาดแรงงาน
สำหรับการศึกษาในไตรมาสนี้ คณะผู้วิจัยได้เน้นไปที่การวิเคราะห์คุณสมบัติเกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานของผู้สมัครงานที่นายจ้างต้องการ เพื่อดูว่าส่วนใหญ่นายจ้างต้องการแรงงานที่มีประสบการณ์ในการทำงานมากน้อยเพียงใด และโอกาสในการมีงานทำของผู้ที่จบใหม่ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน
ผลการวิเคราะห์พบว่า จากตำแหน่งที่ประกาศรับสมัครทั้งหมด ส่วนใหญ่ต้องการผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานขั้นต่ำ 1 - 2 ปีมากที่สุดถึง 84,669 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 38.3% ของประกาศรับสมัครงานทั้งหมด รองลงมาคือตำแหน่งงานที่ต้องการประสบการณ์ 3 ปีขึ้นไป จำนวน 54,877 ตำแหน่ง คิดเป็น 24.8% ตามด้วยตำแหน่งงานที่ไม่ต้องการประสบการณ์ 49,366 ตำแหน่ง คิดเป็น 22.3% และตำแหน่งงานที่ไม่ระบุประสบการณ์ทำงานอีกจำนวน 32,427 ตำแหน่ง หรือ 14.7%
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า แม้จะมีตำแหน่งงานที่ไม่ต้องการประสบการณ์ทำงานในสัดส่วน 22.3% แต่ตำแหน่งงานส่วนใหญ่ในประกาศรับสมัครออนไลน์ก็ยังต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ทำงาน โดยมีตำแหน่งงานที่ต้องการประสบการณ์ทำงานถึง 63.1% ซึ่งสะท้อนว่าตำแหน่งงานส่วนใหญ่ต้องการผู้สมัครที่มีความรู้ ทักษะ และความเข้าใจในการทำงานจริง.....ทีมวิจัยระบุ
จำนวนประกาศรับสมัครงานตามความต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ
ความต้องการด้านประสบการณ์ตามกลุ่มอาชีพ
1.กลุ่มอาชีพที่มีความต้องการประสบการณ์สูง
โดยเฉพาะงานด้านการจัดการ ซึ่งมีตำแหน่งงานที่ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 3 ปีขึ้นไป มีการประกาศรับสมัครสูงถึง 19,143 ตำแหน่ง หรือคิดเป็นสัดส่วน 56.1% และมีสัดส่วนตำแหน่งงานที่ไม่ต้องการประสบการณ์ทำงานเพียง 8.7% เท่านั้น
2.กลุ่มวิชาชีพที่ต้องใช้ทักษะและความรู้เฉพาะทาง
ได้แก่ งานธุรกิจและการเงิน งานด้านคอมพิวเตอร์และคณิตศาสตร์ งานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม กลุ่มอาชีพนี้มีสัดส่วนของตำแหน่งที่ต้องการประสบการณ์สูง กล่าวคือมีสัดส่วนตำแหน่งงานที่ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 1-2 ปี ประมาณ 36-40% และมีสัดส่วนของตำแหน่งที่ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 3 ปีขึ้นไปประมาณ 33-35% ส่วนตำแหน่งงานที่ไม่ต้องการประสบการณ์นั้นมีค่อนข้างน้อย (ประมาณ 15-18%) อาจทำให้เกิดปัญหาผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ไม่สามารถหางานในกลุ่มวิชาชีพเหล่านี้ได้
3.กลุ่มอาชีพที่มีการเปิดรับผู้ไม่มีประสบการณ์ในสัดส่วนที่สูง
ส่วนใหญ่เป็นงานสนับสนุนงานออฟฟิศและงานธุรการ (32.8%) งานด้านการขาย (32.1%) และงานด้านการติดตั้ง การบำรุงรักษา และการซ่อมแซม (30.2%) รวมทั้งกลุ่มอาชีพด้านการเตรียมอาหารและการบริการ การขนส่ง การผลิต และกลุ่มอาชีพงานบริการอื่น ๆ
จำนวนประกาศรับสมัครงานของแต่ละวุฒิการศึกษา แบ่งตามความต้องการประสบการณ์ในการทำงาน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวคณะผู้วิจัยพบด้วยว่า ประสบการณ์ทำงานที่นายจ้างต้องการในประกาศรับสมัครงานมีแบบแผนดังนี้
1.ระดับการศึกษา
พบว่าตำแหน่งงานที่ต้องการผู้สมัครที่มีระดับการศึกษาสูงมักจะมาพร้อมความต้องการต้องการประสบการณ์ที่สูงควบคู่กันไปด้วย โดยตำแหน่งงานสำหรับระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ต้องการผู้มีประสบการณ์ตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป คิดเป็น 78.6% และเกือบ 40% ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 3 ปีขึ้นไป ในขณะที่ตำแหน่งงานระดับอาชีวศึกษา แม้ส่วนใหญ่ต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ แต่เกือบทั้งหมดเป็นตำแหน่งงานที่ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 1-2 ปี
นอกจากนี้ตำแหน่งงานระดับอาชีวศึกษาก็ยังเปิดรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในสัดส่วนสูงกว่าในระดับปริญญาตรีมากด้วย ส่วนตำแหน่งงานระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ส่วนใหญ่เป็นงานระดับเริ่มต้นที่ไม่ต้องการประสบการณ์ทำงาน
จะเห็นได้ว่าระดับการศึกษาไม่สามารถแทนที่ประสบการณ์ทำงานได้ แต่กลับเป็นสิ่งที่หนุนเสริมให้กันและกัน.....ทีมวิจัยระบุ
2.ตำแหน่งงานวิชาชีพและมีเส้นทางอาชีพที่ดี
เช่น งานด้านการเงิน คอมพิวเตอร์ วิศวกรรม รวมถึงงานด้านกฎหมาย มักต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ทำงานมาบ้าง โดยมีตำแหน่งงานสำหรับผู้เริ่มอาชีพไม่มากนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถป้อนคนเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ เนื่องจากมีความต้องการรับผู้สมัครงานที่สำเร็จการศึกษาใหม่ไม่มาก และเมื่อผู้สมัครงานไม่มีโอกาสในการทำงาน ก็จะไม่มีประสบการณ์ไปสมัครงาน ส่วนงานที่มีสัดส่วนการรับผู้ไม่มีประสบการณ์นั้นมักเป็นงานพื้นฐาน หรือเป็นงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะความรู้สูงมากนัก เช่น งานด้านการขาย งานการผลิต และงานบริการต่างๆ
ข้อเสนอจากคณะผู้วิจัยทีดีอาร์ไอ
เพื่อลดปัญหาช่องว่างระหว่างผู้ที่สำเร็จการศึกษา แต่ยังขาดประสบการณ์การทำงาน รัฐบาลควรพิจารณาส่งเสริมการฝึกงานสำหรับผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน (internship หรือ traineeship) โดยอาจศึกษาแนวทางในต่างประเทศ และร่วมหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถออกแบบมาตรการที่สามารถใช้แก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้รัฐบาลควรส่งเสริมให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนในรูปแบบทวิภาคี (สถานประกอบการและสถานศึกษาร่วมกันฝึกปฏิบัติจริงให้กับผู้เรียน) หรือสหกิจศึกษา (ระบบการศึกษาที่ผสมผสานการเรียนเข้ากับการทำงาน) มากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ทำงานอย่างเข้มข้นในสาขาอาชีพที่เรียนมา ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหางาน และช่วยให้ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถปรับตัวเข้าสู่โลกของการทำงานได้ราบรื่นมากขึ้น
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/trick-trend/243154
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา