Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Time
•
ติดตาม
19 ก.พ. เวลา 12:48 • ประวัติศาสตร์
งานวิจัยที่คว้ารางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ 2024
อธิบายผลกระทบแห่งยุคอาณานิคมต่อความเหลื่อมล้ำในโลกอย่างไร
รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2024 ตกเป็นของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน 3 ท่าน ได้แก่ ดารอน อาเซโมกลู (Daron Acemoglu) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) เกิดปี 1967 ในอิสตันบูล ประเทศตุรกี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี 1992 จาก London School of Economics and Political Science, สหราชอาณาจักร ไซมอน จอห์นสัน (Simon Johnson) ศาสตราจารย์ด้านผู้ประกอบการจาก MIT Sloan School of Management เกิดปี 1963 ในเมือง Sheffield
สหราชอาณาจักร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี 1989 จาก MIT และเจมส์ เอ. โรบินสัน (James A. Robinson) ศาสตราจารย์ด้านความขัดแย้งระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชิคาโก เกิดปี 1960 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี 1993 จากมหาวิทยาลัยเยล
ผลงานวิจัยของพวกเขาได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการรางวัลโนเบลว่าเป็น "การศึกษาว่าสถาบันต่างๆ ก่อตัวขึ้นอย่างไรและส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองอย่างไร" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลกระทบของยุคอาณานิคมที่ยังคงส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำในโลกปัจจุบัน บทความนี้จะอธิบายถึงประเด็นสำคัญของงานวิจัยดังกล่าว พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงความเชื่อมโยงระหว่างยุคอาณานิคมและความเหลื่อมล้ำในโลก
สถาบันทางสังคมกับความเหลื่อมล้ำ: แก่นสำคัญของงานวิจัย
งานวิจัยของ อาเซโมกลู, จอห์นสัน และโรบินสัน เน้นย้ำถึงความสำคัญของสถาบันทางสังคม (societal institutions) ในการกำหนดความมั่งคั่งของประเทศ สถาบันเหล่านี้หมายรวมถึง กฎหมาย ระบบการเมือง และโครงสร้างทางสังคมต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตและการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชน งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า สังคมที่มีหลักนิติธรรมที่ไม่ดีและสถาบันที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน จะไม่สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้
สถาบันแบบ Inclusive: หนึ่งในแนวคิดหลักของงานวิจัยนี้คือ
สถาบันแบบ "inclusive" หรือสถาบันที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วม สถาบันแบบนี้มีลักษณะสำคัญคือ การคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม การมีรัฐบาลที่รับผิดชอบและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษาและบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียม สถาบันแบบ inclusive ส่งเสริมให้เกิดการลงทุน นวัตกรรม และการแข่งขัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและการลดความเหลื่อมล้ำ
มรดกตกทอดจากยุคอาณานิคม
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่งานวิจัยนี้นำมาพิจารณาคือ ผลกระทบของยุคอาณานิคมต่อการพัฒนาสถาบันทางสังคมในประเทศต่างๆ เมื่อชาวยุโรปเข้ายึดครองดินแดนต่างๆ ทั่วโลก พวกเขาได้นำระบบและสถาบันแบบตะวันตกเข้ามาใช้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในดินแดนเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันทุกแห่ง
รูปแบบของอาณานิคม: อาณานิคมที่ชาวยุโรปเข้าไปตั้งถิ่นฐานนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบหลักๆ คือ
Extractive Colonies: ในบางพื้นที่ เจ้าอาณานิคมมุ่งเน้นการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรและแรงงานของคนพื้นเมือง โดยไม่ได้สนใจที่จะพัฒนาประเทศในระยะยาว พวกเขาสร้างสถาบันแบบ “extractive” ที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มชนชั้นนำเพียงไม่กี่คน ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น การล่าอาณานิคมของสเปนในอเมริกาใต้ ที่มุ่งเน้นการแสวงหาทรัพยากรแร่ธาตุและใช้แรงงานทาส
Settler Colonies: ในขณะที่บางพื้นที่ เจ้าอาณานิคมได้สร้างสถาบันแบบ “inclusive” ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างเท่าเทียม สถาบันแบบนี้ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรม การแข่งขัน และการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ตัวอย่างเช่น การล่าอาณานิคมของอังกฤษในอเมริกาเหนือ ที่มีการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปจำนวนมากและมีการพัฒนาระบบการเมืองแบบมีส่วนร่วม
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบของอาณานิคม ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเลือกรูปแบบการล่าอาณานิคมคือ สภาพภูมิศาสตร์และโรคระบาดในพื้นที่นั้นๆ ในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป เช่น มีโรคระบาดรุนแรง เจ้าอาณานิคมมักจะเลือกรูปแบบ extractive colonies เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในระยะสั้น ในทางตรงกันข้าม พื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการตั้งถิ่นฐาน มักจะถูกพัฒนาเป็น settler colonies ที่มีสถาบันแบบ inclusive
ยุคอาณานิคมกับความเหลื่อมล้ำในโลกปัจจุบัน
งานวิจัยของ อาเซโมกลู, จอห์นสัน และโรบินสัน ชี้ให้เห็นว่า สถาบันทางสังคมที่ถูกสร้างขึ้นในยุคอาณานิคม ยังคงส่งผลกระทบต่อความเหลื่อมล้ำในโลกปัจจุบัน ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมแบบ extractive มักจะมีปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาที่ล่าช้า ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมแบบ inclusive มักจะมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและสังคมที่เท่าเทียมกันมากกว่า
ตัวอย่าง: ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ประเทศในทวีปแอฟริกา ซึ่งส่วนใหญ่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติยุโรป การถูกเอารัดเอาเปรียบทรัพยากรและการขาดโอกาสในการพัฒนา ส่งผลให้ประเทศเหล่านี้เผชิญกับปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำมาอย่างยาวนาน ในขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ซึ่งเคยเป็นอาณานิคมแบบ settler colonies ที่มีการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปจำนวนมาก กลับมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีกว่า
Reversal of Fortune: งานวิจัยนี้ยังนำเสนอแนวคิด "reversal of fortune" ซึ่งอธิบายว่า ประเทศที่เคยร่ำรวยในอดีต อาจกลายเป็นประเทศยากจนในปัจจุบัน และในทางกลับกัน ประเทศที่เคยยากจน อาจกลายเป็นประเทศร่ำรวยได้ สาเหตุสำคัญของปรากฏการณ์นี้คือ รูปแบบของสถาบันที่เจ้าอาณานิคมนำมาใช้ ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมแบบ extractive มักจะสูญเสียความมั่งคั่งในระยะยาว ในขณะที่ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมแบบ inclusive มีแนวโน้มที่จะพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้ดีกว่า
วิธีวิจัยเชิงประจักษ์
เพื่อศึกษาผลกระทบของสถาบันต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ อาเซโมกลู, จอห์นสัน และโรบินสัน ได้ใช้ ตัวแปรเชิงเครื่องมือ (instrumental variable) โดยใช้ อัตราการตายของชาวยุโรปในอาณานิคม เป็นตัวแปรเชิงเครื่องมือของ คุณภาพของสถาบัน พวกเขาใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอัตราการตายของทหาร บาทหลวง และลูกเรือชาวยุโรปที่ประจำการในอาณานิคมต่างๆ ระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึง 19
โดยมีสมมติฐานว่า อัตราการตายของชาวยุโรปในอดีต สะท้อนถึงสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งมีผลต่อการเลือกรูปแบบการล่าอาณานิคมและการพัฒนาสถาบันในระยะยาว
บทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ
งานวิจัยของ อาเซโมกลู, จอห์นสัน และโรบินสัน ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงวิชาการ และมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบของยุคอาณานิคมในมิติต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น งานวิจัยของ David Albouy
ที่ตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการตายของชาวยุโรปในอาณานิคมกับการพัฒนาสถาบัน Albouy ชี้ให้เห็นว่า อัตราการตายของทหารอาจไม่ได้สะท้อนถึงอัตราการตายของประชากรชาวยุโรปโดยรวม อย่างไรก็ตาม อาเซโมกลู, จอห์นสัน และโรบินสัน ได้โต้แย้งว่า ข้อมูลอัตราการตายของทหารยังคงเป็นตัวแปรเชิงเครื่องมือที่เหมาะสม
ข้อจำกัดของงานวิจัย: แม้จะมีส่วนสำคัญในการทำความเข้าใจผลกระทบของยุคอาณานิคม แต่งานวิจัยนี้ก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น
ปัญหา endogeneity: ตัวแปรเชิงเครื่องมือที่ใช้ (อัตราการตายของชาวยุโรป) อาจไม่ได้เป็นอิสระจากตัวแปรอื่นๆ ที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ความยากลำบากในการวัดคุณภาพของสถาบัน: การวัดคุณภาพของสถาบันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และอาจมีอคติจากผู้วิจัย
ผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรม: นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว ยุคอาณานิคมยังส่งผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรมของประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมในระยะยาว เช่น การสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงภาษา และการถูกกดขี่ทางความคิด
ผลกระทบเชิงบวก แม้โดยรวมแล้ว ยุคอาณานิคมจะส่งผลเสียต่อประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม แต่งานวิจัยบางชิ้นก็ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวก เช่น การนำเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานเข้ามาพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบเชิงบวกเหล่านี้ มักจะถูกบดบังด้วยผลกระทบเชิงลบในระยะยาว
ความเชื่อมโยงกับประเด็นร่วมสมัย งานวิจัยนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำในยุคปัจจุบัน เช่น ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและการเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากยุคอาณานิคมที่ยังคงส่งผลกระทบต่อสังคมโลก
นัยยะสำหรับนโยบาย งานวิจัยนี้มีนัยยะสำคัญสำหรับการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในโลก เช่น การให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา (development aid) ควรมุ่งเน้นการสร้างสถาบันแบบ inclusive ในประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ นโยบายการค้าระหว่างประเทศควรคำนึงถึงผลกระทบของยุคอาณานิคมต่อความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
สรุป
งานวิจัยที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2024 ชี้ให้เห็นว่า ยุคอาณานิคมมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเหลื่อมล้ำในโลกผ่านการก่อร่างสถาบันทางสังคมแบบ extractive และ inclusive สถาบันเหล่านี้ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศต่างๆ ในระยะยาว และยังคงส่งผลกระทบต่อความเหลื่อมล้ำในโลกปัจจุบัน การทำความเข้าใจถึงมรดกตกทอด
จากยุคอาณานิคม ทั้งในด้านสถาบัน สังคม และวัฒนธรรม จึงเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างสังคมที่เท่าเทียมกันอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งเสริมสถาบันแบบ inclusive ที่มีหลักนิติธรรมเข้มแข็ง การคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน และการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างเท่าเทียม จะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก
งานวิจัย
The Colonial Origins of Comparative Development
ผู้แต่ง
Acemoglu, Johnson, and Robinson
ปีที่ตีพิมพ์
2001
ประวัติศาสตร์
การเมือง
1 บันทึก
3
1
1
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย