“จีน” ไม่ต้องการเป็นหัวหน้ากลุ่ม
การประกาศความร่วมมือแบบ “ไร้ขีดจำกัด” ของจีนและรัสเซียในปี 2022 โดยไม่มีพื้นที่ต้องห้าม ได้สร้างผลกระทบในวงกว้าง ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ของจีนเรียกประธานาธิบดี “วลาดิเมียร์ ปูติน” แห่งรัสเซียว่าเป็นเพื่อนรัก และในเดือนมีนาคม 2023 มีคนได้ยินเขาพูดด้วยว่าทั้งสองกำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบศตวรรษ… ตามที่เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำจีน “อิกอร์ มอร์กูลอฟ” กล่าว สี จิ้นผิงตอบรับคำเชิญของปูตินเพื่อเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะในมอสโกในเดือนพฤษภาคม 2025
และความร่วมมือของพวกเขาทั้งสองได้ขยายออกไปเกินขอบเขตที่เป็นเพียงวาทกรรมและเชิงสัญลักษณ์ จีนให้การสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมต่อสงครามของรัสเซียในยูเครนในรูปแบบของเทคโนโลยีทั้งการใช้งานทางทหารและเชิงพาณิชย์ รวมถึงที่ขาดไม่ได้คือการอุดหนุนซื้อน้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย หลังรัสเซียถูกคว่ำบาตรจากตะวันตกอย่างหนัก
เครดิตภาพ: Alexander Zemlianichenko / AP
อย่างไรก็ตามผู้นำจีนยังคงมีความคิดเห็นไม่ลงรอยกับรัสเซียอยู่บ้าง โดยกลัวว่าจีนจะเข้าไปพัวพันกับแผนการต่อต้านตะวันตกสุดโต่งของปูติน และมองด้วยความกังวลว่าจะเกิด “สงครามเย็นครั้งใหม่” ซึ่งจีนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ปักกิ่งไม่ต้องการผูกมัดกับพันธมิตรอย่างเป็นทางการระหว่างจีนและรัสเซีย และต่อต้านแนวคิดที่ว่าจีนเป็นส่วนหนึ่งของ “แนวร่วม” บางอย่างร่วมกับรัสเซีย เกาหลีเหนือ และอิหร่าน (ตะวันตกเรียกกลุ่มแนวร่วมนี้ว่า ‘แกนแห่งความชั่วร้าย’)
ระบอบการปกครองของ “คิม จองอึน” ในเปียงยางก็ยังกลายเป็นแหล่งสร้างความหงุดหงิดหลักให้กับปักกิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุผลหลักที่ดูเหมือนปักกิ่งจะไม่เต็มใจที่จะสร้างพันธมิตรไตรภาคีกับ “รัสเซีย” และ “เกาหลีเหนือ” ก็คือ การเข้าแนวร่วมดังกล่าวจะต้องอาศัยใช้ความเป็น “ผู้นำเชิงยุทธศาสตร์” จากจีน โดยพวกเขาก็ไม่สนใจแนวโน้มดังกล่าวอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะแกนแนวร่วมใดๆ ที่นำโดยปักกิ่งจะต้องมีภารกิจที่พันธมิตรของตนสามารถรวมเป็นหนึ่งได้ แต่ทว่าจีนกับเกาหลีเหนือดูจะไม่ค่อยลงรอยกันแบบสนิทใจมากนักเหมือน จีนกับรัสเซีย หรือ รัสเซียกับเกาหลีเหนือ และดูเหมือนว่าไม่มีใครในปักกิ่งรู้ว่าภารกิจนั้นควรเป็นอย่างไร
เครดิตภาพ: Soumyadip Sinha / The New Indian Express
การที่จีนลังเลที่จะเป็นหัวหน้าแนวร่วมของกลุ่มดังกล่าวในการต่อสู้กับตะวันตก แสดงให้เห็นว่าผู้นำของจีนตระหนักถึงต้นทุนที่สูงของการเผชิญหน้าและกำลังป้องกันความเสี่ยง การทูตที่ไม่ธรรมดาของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งจับคู่วาทกรรมที่ก้าวร้าวและภัยคุกคามของสงครามเศรษฐกิจเข้ากับคำมั่นสัญญาในการร่วมมือของมหาอำนาจกับจีนและรัสเซีย
สิ่งนี้ได้เพิ่มความไม่แน่นอนในปักกิ่งเกี่ยวกับทิศทางของสหรัฐฯ ส่งผลให้วอชิงตันมีโอกาสทองในการทดสอบเจตนาของจีนผ่านความพยายามทางการทูตใหม่ แม้ในขณะที่พวกเขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการปิดล้อม
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ถือเป็นโอกาสครบรอบ 75 ปีของการลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรจีน-โซเวียต พันธมิตรที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งนี้แท้จริงแล้วแตกแยกจากความขัดแย้งภายในและคงอยู่ได้เพียงประมาณ 10 ปีเท่านั้นก่อนที่จะล่มสลายลงท่ามกลางข้อกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าทรยศ
เครดิตภาพ: The Cold War
การตัดสินใจของจีนที่จะแสวงหาการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาในรูปแบบหุ้นส่วนแทนที่จะเผชิญหน้ากับตะวันตกแบบจะๆ ช่วยให้จีนรอดพ้นจากชะตากรรมแบบสหภาพโซเวียต ปัจจุบันจีนและรัสเซียทำงานร่วมกันอีกครั้ง แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขายังอยู่ห่างไกลจากคำว่า “ไร้ขีดจำกัด”
ด้วยความเป็นไปได้ของสงครามเย็นอีกครั้งที่กำลังใกล้เข้ามา จีนไม่แน่ใจว่าต้องการนำแกนร่วมที่ดูแล้วไม่แข็งแกร่งที่จะเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศที่จะใช้ความไม่แน่นอนนี้เพื่อหาทางเลือกอื่นแทนที่จะเผชิญหน้ากันโดยตรง
อ้างอิงบทความต้นเรื่องได้จากลิงก์ด้านล่างนี้
เรียบเรียงโดย Right Style
19th Feb 2025
- ■อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: Anthony Gerace / The Economist>
- 8
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
