20 ก.พ. เวลา 02:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เปลี่ยนภาษีเป็นเงินออม : นวัตกรรมภาษีที่อาจเปลี่ยนอนาคตของคนไทย

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของรัฐบาลไทย โดยในปีงบประมาณ 2566 การจัดเก็บ VAT มีมูลค่าสูงถึง 916,612 ล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 30% ของรายได้จากภาษีทั้งหมดของกรมสรรพากร เนื่องจากเป็นภาษีที่จัดเก็บจากการบริโภคสินค้าและบริการทั่วประเทศ ทำให้มีฐานภาษีกว้างและสามารถสร้างรายได้ให้รัฐอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มอัตรา VAT จึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ของภาครัฐโดยไม่กระทบต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป
🧐 ทำไมต้องปรับ VAT?
- ไทยเคยมี VAT 10% – แต่ถูกลดลงเหลือ 7% ตั้งแต่ปี 2540 เพราะวิกฤตต้มยำกุ้ง และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยปรับขึ้นอีกเลย
- อัตรา VAT ของไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามและสิงคโปร์ที่ 9-10% ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์อยู่ที่ 11-12%
- รายได้จากภาษีของไทยอยู่ที่เพียง 14% ของ GDP ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกที่ 19.8% ส่งผลให้รัฐบาลมีข้อจำกัดในการจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทำให้รัฐบาลต้องพิจารณาแนวทางใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและสร้างแหล่งรายได้ที่ยั่งยืน
🌟 แนวทางใหม่: จัดสรร VAT เพื่อการออมเกษียณ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เสนอแนวทางการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 10% โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินในวัยเกษียณให้กับประชาชน แนวคิดนี้สามารถตอบโจทย์ทั้งความจำเป็นในการเพิ่มรายได้ภาครัฐและการเตรียมความพร้อมสำหรับสังคมสูงวัยของไทย แนวคิดนี้เสนอให้เพิ่ม VAT เป็น 10% และนำส่วนต่าง 3% เข้าบัญชีเงินออมเพื่อการเกษียณของประชาชนแต่ละคน พร้อมทั้งกำหนดอัตราภาษีแบบขั้นบันไดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ดังนี้:
- 5% สำหรับสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และอุปกรณ์การศึกษา
- 10% สำหรับสินค้าทั่วไป
- 15% สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ เครื่องประดับ และยานพาหนะหรู
💡 ประโยชน์ของแนวทางนี้
- เพิ่มแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืน สำหรับระบบบำนาญ และลดภาระงบประมาณของรัฐในอนาคต
- สนับสนุนความเป็นธรรมทางสังคม โดยรัฐสามารถสมทบเงินออมให้กับผู้มีรายได้น้อย
- ช่วยลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากสังคมสูงวัย และสร้างหลักประกันด้านการเงินในระยะยาว
🔐 VAT กับการแก้ปัญหาสังคมสูงวัย
แนวทางนี้สอดคล้องกับความท้าทายของสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ภาวะประชากรสูงวัย โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2580 ประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะคิดเป็นหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมด หากไม่มีการเตรียมความพร้อมที่เหมาะสม ภาระด้านสวัสดิการและงบประมาณของรัฐอาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก นโยบายนี้จึงเป็นการเปลี่ยนการขึ้นภาษีให้กลายเป็นโอกาสในการสร้างหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงแก่ประชาชนในระยะยาว
🔍 ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ VAT และภาษีทั่วโลก
- ประเทศที่มี VAT สูงที่สุดในโลก – ฮังการีมีอัตรา VAT สูงสุดในโลกที่ 27% ตามมาด้วยเดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ที่ 25%
- ประเทศที่ไม่มี VAT – หลายประเทศในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพิ่งเริ่มใช้ VAT ในปี 2018 ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่มี VAT เลย!
- สหรัฐฯ ไม่มี VAT! – สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ไม่มี VAT แต่ใช้ Sales Tax ซึ่งกำหนดโดยแต่ละรัฐ
- สิงคโปร์มี VAT 9% แต่มีระบบออมเงินที่แข็งแกร่ง – ส่วนหนึ่งของ VAT ถูกใช้สนับสนุน Central Provident Fund (CPF) ซึ่งเป็นระบบบำนาญภาคบังคับของชาวสิงคโปร์
- ในญี่ปุ่น คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ใช้ภาษี 10% จ่ายเงินบำนาญตัวเอง – ญี่ปุ่นเพิ่ม VAT เป็น 10% โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งไปอุดหนุนระบบสวัสดิการผู้สูงอายุ
- บางประเทศมี VAT ลดราคาในบางอุตสาหกรรม – เช่น ฝรั่งเศสมี VAT เพียง 5.5% สำหรับหนังสือและอาหารสด
📢 ถ้าเงินภาษีที่คุณจ่ายทุกวัน กลับมาสร้างความมั่นคงให้คุณในอนาคต คุณจะเห็นด้วยหรือไม่?
.
ผู้เขียนและภาพประกอบ: อาชวี เอี่ยมสุนทรชัย Economist, Bnomics
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
#ประกันสังคม #BangkokBank #BBL #ธนาคารกรุงเทพ
#VATเพื่ออนาคต #การออมเพื่อวัยเกษียณ #เศรษฐกิจไทย #สังคมสูงวัย
โฆษณา