ความเห็นผิดว่ากายใจเป็นของเรา เป็นเรา หรือ สักกายทิฏฐิ

จากข่าวความรุนแรงที่เกิดจากความไม่พอใจ ทำให้คนใช้กำลังกัน อันมีให้เห็นอย่างมากมายในสื่อทุกแขนง ทำให้เราต้องกลับมาตระหนักถึงเรื่อง "อัตตาตัวตน" กันอีกครั้ง
#สักกายทิฏฐิ #อัตตา
ความมีตัวตนนี้เองทำมนุษย์เราพังมานักต่อนัก บางครั้งเราถูกพูดจาไม่ดีใส่ ก็รู้สึกไม่พอใจ ไม่อยากให้ตัวตนของเราถูกจาบจ้วงกระทบกระเทียบ จนทำให้เกิดการตอบสนองที่แย่มาก เช่น ด่าทอ ตบตี ทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย ซึ่งเรามักจะเห็นพฤติกรรมของมนุษย์แบบนี้มากมายในรายงานข่าว มันล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากความยึดว่านี่คือตัวตนของเราหรือตัวตนของคนที่เรารัก ใครจะมาแตะต้องตัวตนของเราไม่ได้เด็ดขาด เราจะตอบโต้แรงๆกลับไป เพื่อปกป้องตัวตนของเราไม่ให้เจ็บปวดเสียหาย จนติดเป็นนิสัย
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเรากำลังอยู่ในห้องประชุม แล้วโทรศัพท์มือถือของเราดังขึ้น ทำให้คนในห้องประชุมหันมามองเราตาเขียวด้วยความไม่พอใจ ตอนนั้นในหัวของเราก็ตอบโต้ด้วยอารมณ์ความรู้สึกไม่พอใจเช่นกัน อาจถึงขั้นโกรธ โมโห อาฆาต ด่าทอคนที่มองเราตาเขียว พร้อมทั้งให้เหตุผลต่างๆนานาว่าก็เราไม่ได้ตั้งใจ คนเรามันลืมปิดมือถือกันได้ ไอ้คนสันดานเลวพวกนั้นมามองเราตาเขียวได้ไง ไร้มารยาทจริงๆ เห็นเราเป็นตัวอะไรถึงกล้าดีมามองเราด้วยสายตาแบบนั้น
ทีนี้ลองคิด ในทางกลับกัน พอคนที่ลืมปิดมือถือไม่ใช่เรา แต่เป็นคู่สนทนาในที่ประชุมของเราเขาดันปล่อยให้เสียงเรียกเข้าดังรบกวนขึ้นในที่ประชุม ตอนนั้นเราเองกลับเป็นคนที่มองเขาตาเขียวปั้ด คิดคาดโทษอีกฝ่ายไปต่างๆนานา หาว่าอีกฝ่ายไม่รู้หน้าที่ ไม่มีมารยาทบ้าง เห็นอะไรในเรื่องนี้ไหมครับ ก็สองสถานการณ์นี้เป็นตัวอย่างของคนที่ยังมี "สักกายทิฏฐิ" คือยึดมั่นผิดไปว่ากายและใจนี้เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ปัจจัยตามธรรมดา แต่เป็นตัวเราของเรา นั่นเองครับ
สักกายทิฏฐิ เป็นความเห็นผิดจากความเป็นจริง ซึ่งถ้าละทิ้งได้ ก็จะทำให้เราไม่สร้างปัญหา เวลามีเรื่องอะไรก็จะไม่ไปปะทะกับเขา ไม่ใช้อารมณ์และความรุนแรงกับฝ่ายตรงข้าม เพราะหมดความไม่พอใจเมื่อใครมากระทบกับตัวตนของเรา เพราะเรามีความเห็นถูกต้องแล้วว่าตัวตนนี้กายนี้ความนึกคิดนี้มิใช่ของของเรา เป็นแค่องค์ประกอบธรรมชาติที่มาประกอบกันชั่วคราวเพื่อรอวันดับสลายไปตามธรรมชาติเท่านั้น
ในพระสูตรจะบรรยายคุณสมบัติของอริยบุคคล ขั้นโสดาบัน(ขั้นแรก) เอาไว้ว่า เป็นบุคคลที่สามารถละทิ้ง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉาและศีลพตตปรามาส ลงได้หมดแล้ว ซึ่ง สักกายทิฏฐินี้เองคือความเห็นผิดว่ากายใจเป็นของเราอย่างที่บอกไปข้างต้น แต่ก็แน่นอนว่าปัญญาของโสดาบันจะยังไม่แก่รอบจนถึงขั้นรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้หมดจด ทำให้โสดาบันยังมีรักโลภโกรธหลงอยู่ เพียงแต่คลายตัวเร็วกว่าปุถุชน
ยกตัวอย่างเช่น มีความรักได้ แต่ไม่ยึดมั่นในสัญญารักถึงชนิดว่าชั่วฟ้าดินสลาย จะรอคอยพานพบแต่เพียงเธอชั่วนิรันดร์ แต่โสดาบัน ถ้าต้องจากกับคนรัก ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย โสดาบันก็จะคลายความโศกเศร้าทุกข์ใจได้เร็วกว่าปุถุชนมาก และกลับมามองโลกตามความจริงว่าทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามครรลองธรรมชาติเช่นนั้นเอง
โสดาบันจึงเป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ไม่ถึงขั้นประหารกิเลสจนสิ้นได้แบบพระอรหันต์เพราะโสดาบันยังมีอุปาทานในขันธ์เหลืออยู่บ้างบางส่วน ทำให้โสดาบันสามารถตักเตือนคนทำผิดด้วยวาจาที่รุนแรงได้ตามอุปนิสัยเคยชิน อาจจะโกรธ-ไม่พอใจได้แต่โสดาบันจะดับโทสะนั้นลงได้ง่ายและไวกว่าปุถุชนมาก เพราะหากเป็นปุถุชนคงจะดึงอารมณ์ความโกรธแค้นให้ยาวยืดออกไปเรื่อยๆ บางรายถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นโรคจิตเวช โรคซึมเศร้า โรคไบโพล่าร์กันไปก็มี เพราะมัวแต่ย้ำดึงแต่อารมณ์ด้านลบจนฮอร์โมนในสมองผิดเพี้ยนไปนั่นเอง
โสดาบันไม่มีสักกายทิฏฐิคือความยึดมั่นในรูปนามอีกต่อไปแล้ว ทำให้โสดาบันไม่มีความอาฆาตพยายาท ปุถุชนอย่างพวกเราอาจจะไม่ได้มีปัญญาแก่รอบเท่าโสดาบัน แต่ควรนำคุณธรรมของโสดาบันมาเป็นแบบอย่าง เพราะจะช่วยให้เราปลอดภัยในการใช้ชีวิต เพราะเราละทิ้งตัวเราของเราลงได้แล้ว จึงไม่มีเครื่องรองรับ ไม่จมจ่อมกับความเจ็บปวดเวลามีใครมาติติงต่อว่าด่าทอ ความอาฆาตเราย่อมลดน้อยลง จึงไม่มีทางไปก่อคดีให้ตัวเองเดือดร้อนได้ แบบนี้ถือเป็นสิ่งที่ดี ปุถุชนควรน้อมนำใส่ตัวอย่างยิ่ง
แอดมินโสดาเทพ แห่งเพจเฟ๊ซบุ๊ค "ธรรมะแฟนตาซี"
โฆษณา