เมื่อวาน เวลา 07:11 • ปรัชญา

watthakhanun

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพไข้จับแต่เช้า กว่าจะรู้ตัวว่าอากาศเปลี่ยนแปลงขนาดฝนตก ก็ต้องออกจากกุฏิริมป่าช้ามาแล้วถึงได้รู้..! บุคคลที่มีเชื้อมาลาเรียเรื้อรังอยู่ภายในสายเลือด จะไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศมากเป็นพิเศษ จึงได้ฉันยา แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องออกไป
ต้อนรับของคณะของท่านอาจารย์ รศ., ดร. สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งท่านเป็นอาจารย์เปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ให้พวกกระผม/อาตมภาพได้เรียนเพิ่มวุฒิการศึกษาของตนเอง จนสามารถเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้
ต้องบอกว่า "ไม่ต่อยตี ไม่รู้จักกัน" เนื่องเพราะว่าตั้งแต่เรียนระดับบริหารกิจการคณะสงฆ์ กระผม/อาตมภาพเป็นตัวแทนนิสิตประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ของภาค ๑๔ ก็คือ จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และสมุทรสาคร ขึ้นไปให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนวิชานี้ ร่วมกับตัวแทนจากภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งส่งตัวเอกของเขา ก็คือ พระครูปลัดวัชรินทร์ (พระครูเมตตามงคลวิศิษฏ์, ดร.) ขึ้นไปชนิดที่เรียกว่า "กะจะบี้นิสิตของภาคอื่นให้ตายคาเวทีไปเลย..!"
แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงคิวกระผม/อาตมภาพ ที่ฟังการชื่นชมในการเรียน ตลอดจนกระทั่งเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะมาช่วยให้การปกครองคณะสงฆ์ของเราให้ดีขึ้นแล้ว ก็เกิดอาการ "ของขึ้น" บอกว่า "ขออนุญาตพระบ้านนอกติดกับพม่าอย่างกระผม/อาตมภาพพูดเสียหน่อย เรื่องที่ท่านทั้งหลายนำมาให้เรียนนี้ ถ้าไม่ได้เกรงใจว่าเป็นไปด้วยความหวังดีต่อคณะสงฆ์แล้ว กระผมจะว่าท่านทั้งหลายบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม..!.
การปกครองคณะสงฆ์ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีอะไรเลยก็ได้ ขอให้สอนพระภิกษุสามเณรของเราละอายชั่ว กลัวบาป รักศีลของตนเอง ทุกอย่างก็จบแล้ว ไม่ใช่มาเรียนประกาศนียบัตร เรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แล้วก็กลายเป็น "เหี้ยติดปีก" ก็คือสามารถชั่วได้เนียนกว่าเดิมเพราะว่ามีความรู้มากขึ้น..!"
ทำเอาเสียงกองเชียร์ปรบมือกระทืบเท้าจนเวทีแทบถล่มทลาย บรรดาบุคคลที่มาแสดงวาทะต่าง ๆ ก็นึกไม่ถึงว่า การที่ตนเองโดดขึ้นรถไฟสายเทคโนโลยีไปนั้น จะโดนพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ จับพลิกตีลังกาหัวทิ่ม กลับมาอยู่จุดเดิม ประมาณว่าสูงสุดคืนสู่สามัญ..!
จนกระทั่งท่านอาจารย์ ซึ่งตอนนั้นคือ ดร.สุรพล สุยะพรหม ผู้อำนวยการหลักสูตรประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ต้องขึ้นไปพูดถึงข้อดีต่าง ๆ ของการเพิ่มวุฒิการศึกษา "ก็เพื่อให้พระสังฆาธิการระดับบริหาร ก็คือเจ้าคณะตำบลขึ้นไป ได้มีโอกาสร่ำเรียนในส่วนที่สูงขึ้น แนวความคิดในการบริหารจะได้กว้างไกลขึ้น
ส่วนการที่ท่าน (กระผม/อาตมภาพ) ยึดหลักพระธรรมวินัยนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่เมื่อนำเอาพระธรรมวินัยมาประสานกับความรู้สมัยใหม่ เราก็จะช่วยให้การบริหารกิจการคณะสงฆ์เป็นไปด้วยดี และทันสมัย ทันโลก ทันเหตุการณ์" ลงจากเวทีมา ยังมีคนแอบกระซิบว่า "ทำไมไม่แจกนวมให้เขาไปชกกันหลังห้องให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ?!" กระผม/อาตมภาพก็ยังบอกว่า "ถ้าชกกันผมก็ไม่แพ้หรอก..!" เล่นเอาทุกคนตีหน้าประหลาดไปตาม ๆ กัน
พอมาเรียนระดับปริญญาโท ปริญญาเอก จากการที่ได้ "ทุบ" ท่านอาจารย์ไปตั้งแต่ตอนนั้น ท่านอาจารย์ก็ "ทุบ" คืนแบบไม่เลี้ยงเหมือนกัน แต่กระผม/อาตมภาพเป็น "เด็กสู้ครู" พูดง่าย ๆ ก็คือหาเหตุผลมาหักล้างท่านอาจารย์ได้ทุกชั่วโมง ดีอยู่อย่างเดียวก็คือ ทำให้อาจารย์ทุกท่านต้องเตรียมการสอนมาอย่างดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าลูกศิษย์คนนี้จะถามอะไรบ้าง ?!
ครั้นเมื่อถึงเวลาสอบวิทยานิพนธ์ กระผม/อาตมภาพก็สู้ครูอีกตามเคย ก็คือปริญญาโทบุกไปหาท่านอาจารย์ครั้งแล้วครั้งเล่า แก้วิทยานิพนธ์ชนิดแก้ยับแก้เยินมา รวมทั้งหมด ๑๘ ครั้ง จนกระทั่งอาจารย์ไม่มีที่จะให้แก้ไขแล้ว ดังนั้น..เวลาสอบ เพื่อนฝูงโดนกันคนละ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง กระผม/อาตมภาพโดนไม่ถึง ๑๕ นาที จบปริญญาโทมาแบบสวย ๆ เลย..!
ครั้นปริญญาเอก กระผม/อาตมภาพสู้ครูหนักกว่านั้นอีก นัดท่านอาจารย์อาทิตย์ละครั้ง..! ตลอดระยะเวลาทำวิทยานิพนธ์ พูดง่าย ๆ ว่าบางทีก็ต้องไปกินไปนอนอยู่ที่กุฏิอาจารย์บางท่าน หรือว่าตามถึงบ้านอาจารย์ฆราวาสหลายท่าน จนกระทั่งเวลาสอบ ท่านอาจารย์ตอนนั้นเป็น ผศ., ดร. สุรพล สุยะพรหมแล้ว นั่งเงียบอย่างเดียว จนประธานกรรมการคุมสอบถามว่า "ท่านอาจารย์สุรพล ปกติถามมากที่สุด วันนี้ไม่คิดจะถามอะไรหรือ ?" ท่านอาจารย์ตอบว่า "กระผมถามมาทุกอาทิตย์จนไม่มีให้ถามแล้วครับ"
สรุปว่าขณะที่คนอื่นโดนกัน ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ในขณะสอบปริญญาเอก กระผม/อาตมภาพโดนอาจารย์เชิญออกนอกห้อง เพื่อให้คณะกรรมการปรึกษากันว่าจะให้สอบผ่าน สอบไม่ผ่าน ? จะให้เกรดระดับไหน ? กลับเข้ามาแล้วถึงได้เห็นว่า ตนเองเปิดเครื่องบันทึกเสียงทิ้งเอาไว้ ลืมปิด จึงจัดการปิดแล้วก็ฟังผลที่ท่านอาจารย์ทุกท่านให้ผ่านโดยไม่มีข้อแม้ มาดูเวลาที่บันทึกไว้ก็คือ ๒๒ นาที จนป่านนี้ยังไม่มีใครทำลายสถิตินี้ได้..!
แล้วขณะเดียวกัน วิทยานิพนธ์ที่ได้แค่ B+ กลายเป็นวิทยาพนธ์ตัวอย่างที่ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยต้องขอเพิ่มทุกปี ท่านอาจารย์ซึ่งตอนนี้ก็คือ รศ., ดร. สุรพล สุยะพรหม ยังบอกว่า "เป็นเรื่องอัศจรรย์มากครับ ปกตินิสิตเรียนจบแล้ว ก็พิมพ์วิทยานิพนธ์ส่งบัณฑิตวิทยาลัยครั้งเดียวเลย แต่ของหลวงพ่อเล็กต้อง
พิมพ์อยู่ทุกปี" เพราะว่ามีทั้งการวิจัยในลักษณะเชิงคุณภาพ แล้วเอาการวิจัยเชิงปริมาณมาเพื่อยืนยันว่า การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นถูกต้องดีงามอย่างไรบ้าง แล้วยังมีการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม ตลอดจนกระทั่งทำโฟกัสกรุ๊ป ซึ่งตอนนั้นกำหนดว่าต้องมีอาจารย์อย่างน้อย ๑๒ ท่านขึ้นไป..!
เมื่อถึงเวลานิสิตอยากได้ตัวอย่างวิทยานิพนธ์แบบไหน กระผม/อาตมภาพก็มีให้ จึงกลายเป็นถึงเวลาตนเองไม่จบก็ไม่คายวิทยานิพนธ์ที่ยืมจากมหาวิทยาลัยไป รุ่นต่อมาพอจะยืมก็ไม่มีให้ จึงต้องมาขอพิมพ์เพิ่ม เมื่อล่าสุดปีที่ผ่านมา ก็พิมพ์ไป ๑๒ เล่ม โดยพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.,ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน ช่วยออกทุนให้ กระผม/
อาตมภาพค่อยสบายใจหน่อย ไม่เช่นนั้นพิมพ์แต่ละครั้งก็หมดเงินหลายพันบาทอยู่..!
ต้องบอกว่าท่านอาจารย์สุรพลเป็นฆราวาสสุดยอดฝีมือ เนื่องเพราะว่าในช่วงที่ของบประมาณจากรัฐบาลมาสนับสนุนวิทยาลัย ท่านสามารถของบประมาณสร้างสนามกีฬาแก่มหาวิทยาลัยสงฆ์ได้ ทั้ง ๆ ที่คณะกรรมาธิการงบประมาณถามว่า "พระภิกษุสามเณรจะเล่นกีฬาอะไรได้ ?"
ท่านอาจารย์สุรพลชี้แจงว่า การศึกษาหลายหลักสูตรของมหาวิทยาลัย เป็นการศึกษาที่รับนิสิตฆราวาสด้วย อย่างเช่นว่าคณะสังคมศาสตร์ มีทั้งรัฐประศาสนศาสตร์ บริหารรัฐกิจ จิตวิทยา การปกครอง ตลอดจนกระทั่งวิชาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นครุศาสตร์ พุทธจิตวิทยา ในเมื่อมีนิสิตซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อความแข็งแรงของบรรดานิสิตฆราวาส จึงจำเป็นที่จะต้องมีสนามกีฬาให้ด้วย ท่านสามารถชี้แจงจนกระทั่งทุกคนเห็นประโยชน์ แล้วยอมอนุมัติงบประมาณให้..!
ดังนั้น..จึงไม่ต้องแปลกใจว่าท่านเป็นรองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ชนิดที่เรียกว่า "ผูกขาด" มาตลอด ทั้ง ๆ ที่ระเบียบของมหาวิทยาลัยนั้นระบุไว้ว่า ผู้บริหารระดับสูงต้องเป็นพระภิกษุเท่านั้น แต่ที่ต้องมาแก้ระเบียบให้ท่านอาจารย์สุรพล ก็เพราะว่าต้องไป "ไฟท์" กับชาวบ้านเขาในเรื่องประมาณนี้ ซึ่งพระเราจะไปนั่งถกเถียงกับคณะกรรมาธิการงบประมาณก็คงจะไม่ใช่ที่..!
ท่านอาจารย์สุรพลซึ่งอายุน้อยกว่ากระผม/อาตมภาพปีเดียว จึงกลายเป็น "บิ๊กสุ" ก็คือผู้ทรงอิทธิพลไปโดยปริยาย แต่ว่าท่านรักและเคารพกระผม/อาตมภาพมาก เนื่องเพราะว่าช่วยสนับสนุนงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด ไม่เคยทอดทิ้งกัน และเป็นนิสิตตัวอย่างที่ยกให้กับรุ่นหลัง ๆ เขาฟังอยู่เสมอว่า "วีรกรรมของหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน เป็นอย่างไรบ้าง ?"
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
โฆษณา