Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วรภพ วิริยะโรจน์
•
ติดตาม
21 ก.พ. เวลา 13:43 • การเมือง
🔻[ เงินหมื่นไม่กระแทก! GDP ปี 67 โตแค่ครึ่งเดียวจากที่หาเสียงไว้...
🔻[ เงินหมื่นไม่กระแทก! GDP ปี 67 โตแค่ครึ่งเดียวจากที่หาเสียงไว้: รัฐบาลต้องกล้าคิดใหม่ ทำใหญ่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจที่โครงสร้าง ]
เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง… ⏮️ จากกรณีที่สภาพัฒน์ฯ ประกาศตัวเลขจีดีพีประจำปี 2567 พบว่าเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมา ภายใต้การนำของรัฐบาลเพื่อไทย เติบโตเพียง 2.5% รั้งท้ายประเทศในกลุ่มอาเซียน ชนะแค่ประเทศเมียนมาเท่านั้น!
ดังนั้นในการประชุมสภาฯ เมื่อวานนี้ (20 ก.พ.) วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน จึงตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรีถึงเรื่องนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ดูเหมือนจะยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ โดยนายกฯ ได้มอบหมายให้ เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มาเป็นผู้ตอบกระทู้แทน
💵 [ แจกเงินหมื่นเฟส 1 ไร้ผลกระตุ้นเศรษฐกิจ ]
วรภพเริ่มต้นคำถามแรกว่า การที่จีดีพีของไทยในปี 2567 เติบโตเพียง 2.5% ซึ่งน้อยที่สุดในอาเซียน น้อยกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ ถือว่ารัฐบาลสอบตกในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ โดยเฉพาะการกระตุ้นผ่านมาตรการเรือธงอย่าง “ดิจิทัลวอลเล็ต” หรือที่ในภายหลังเรียกชื่อใหม่ว่ามาตรการ “เงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจ” ที่ใช้ทุกองคาพยพทางการคลังทั้งงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาทและการกู้เต็มเพดาน โดยมาตรการนี้ในเฟส 1 ใช้งบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท และในเฟสที่ 2-3 ต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 2 แสนกว่าล้านบาท
คำถามสำคัญคือ มาตรการแจกเงินหมื่นที่ผ่านมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้แค่ไหน รัฐบาลถึงยังยืนยันกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการแบบเดิมในปี 2568 ด้วยงบประมาณที่มากขึ้น รัฐบาลเคยอ้างว่าที่ต้องมีการแจกเป็นเฟสก็เพื่อดูผลลัพธ์ว่าเฟส 1 กระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ วันนี้เฟส 1 ผ่านพ้นไปแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังเดินหน้าต่อในเฟส 2-3 เป็นม้าตัวเดียวในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
จึงต้องถามย้ำว่า รัฐบาลจะยอมรับหรือไม่ว่าการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยโตน้อยกว่าเป้าหมาย และมาตรการแจกเงินหมื่นไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็จะยังคงเดินหน้าต่อในเฟส 2-3
ในส่วนของรัฐมนตรีช่วยเผ่าภูมิตอบคำถามแรกว่า การมองว่าจีดีพีปี 2567 ที่เติบโต 2.5% และเมื่อเทียบกับอาเซียนแล้วมองว่าเศรษฐกิจไทยโตช้า เป็นวิธีการมองที่ไม่รอบด้าน เพราะเวลาดูเศรษฐกิจต้องดูไส้ในของตัวเลขในมิติ “แรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจ” ที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งเมื่อดูเป็นรายไตรมาส
จะพบว่าในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 มีการเจริญเติบโตอยู่ที่ 1.7% ไตรมาสที่ 2 ขยับมาเป็น 2.3% ไตรมาสที่ 3 เป็น 3.0% และไตรมาส 4 อยู่ที่ 3.2% จะเห็นได้ว่าทิศทางเศรษฐกิจผงกหัวขึ้นทั้งปีตั้งแต่ไตรมาสที่ 1-4 บ่งบอกทิศทางและแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น
ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกถึงทิศทางในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2568 รัฐบาลคาดการณ์แรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจว่าจะมีความต่อเนื่อง ตัวเลขจะออกมาดี มีแรงเหวี่ยงต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว และต่อจากนี้รัฐบาลก็จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหลายมาตรการ
ส่วนกรณีการกระจายเม็ดเงินหมื่นในเฟส 1 นั้น มีการกระจายให้กลุ่มเปราะบางซึ่งเป็นการกระจายที่ถูกฝาถูกตัว สิ่งที่เห็นคือเงินลงไปในจังหวัดที่มีสัดส่วนคนยากจนสูงเป็นลำดับแรกๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคอีสาน และสามจังหวัดชายแดนใต้ และกระจายลงไปในทุกตำบล
สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีตำบลใดในประเทศไทยที่ไม่ได้รับการกระจายเม็ดเงิน และจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ 68% ลงสู่ร้านเล็กในชุมชน ตลาด หาบเร่แผงลอย นอกจากนั้นประชาชน 82% ยังใช้เงินอย่างรวดเร็วภายใน 3 เดือน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รวดเร็ว รุนแรง และทันท่วงที
จากการตอบคำถามของรัฐมนตรี วรภพกล่าวว่า ตนยินดีที่จะมีการคุยด้วยตัวเลข เพราะเมื่อ 3 เดือนที่แล้วก็มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังชื่อเผ่าภูมิเหมือนกัน ระบุเป้าหมายไว้ว่าจีดีพีปี 2567 จะโตได้ถึง 3% กว่า และไตรมาสสุดท้ายจะโตได้ถึง 4-4.5% แต่สุดท้ายก็โตได้เพียง 3.2%
ส่วนแรงเหวี่ยงที่พูดถึงใน 3 ไตรมาสแรก ก็จะเห็นว่าจีดีพีเติบโตไตรมาสต่อไตรมาสเฉลี่ยอยู่ที่ 1% แต่ไตรมาสสุดท้ายที่ออกมาเติบโตที่ 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตนเลยไม่มั่นใจว่าข้อมูลเดียวกัน รัฐบาลอาจจะวิเคราะห์ต่างกันหรือไม่ ว่าแรงเหวี่ยงกำลังจะมาหรือกำลังจะถดถอย
ส่วนเรื่องมมาตรการแจกเงินหมื่น สิ่งที่รัฐมนตรีตอบมานั้นเป็นการบ่งบอกว่านโยบายนี้ “ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจ” อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องการ “ลดความเหลื่อมล้ำ” แน่นอนว่าเมื่อแจกให้กลุ่มเปราะบางก็ต้องลงไปจังหวัดที่มีประชากรเปราะบางอยู่มาก แต่คำถามของตนคือ
สรุปแล้วมาตรการนี้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่ จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยและสภาพัฒน์ฯ ก็ยืนยันตรงกันว่ามาตรการแจกเงินหมื่นที่มีการกู้เงินมาแจกนั้น แจก 3 บาทกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1 บาท คำถามอยู่ที่ว่าทำไมในเมื่อเฟส 1 มีผลลัพธ์ออกมาแล้วว่าไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลก็ยังยืนยันจะเดินหน้าเฟส 2-3 ต่อไป
😔 [ สินค้าต่างชาติตีตลาดหนัก ทำภาคการผลิตไทยซบเซา ความเชื่อมั่นลด ธนาคารไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ]
วรภพถามต่อในคำถามที่สองว่า จากข้อมูลทางเศรษฐกิจยืนยันได้แล้วว่าปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ที่ “ภาคการผลิต” ไม่ใช่ภาคการบริโภค จีดีพีภาคการผลิตลดลง 2 ปีติดต่อกันแล้ว ส่งออกมากขึ้นแต่นำเข้ามากกว่าส่งออก การลงทุนภาคเอกชนลดลง โรงงานก็ปิดตัวมากขึ้น เพราะเจอปัญหาสินค้านำเข้าต่างชาติเข้ามาตีตลาด ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลยังทำไม่พอ
ปัญหาสินค้าต่างชาติเป็นเรื่องสำคัญของเศรษฐกิจไทยในระยะเฉพาะหน้า แต่รัฐบาลกลับไม่เอาจริงเอาจังกับการกำกับควบคุมร้านค้าต่างชาติที่ขายบนอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม มุ่งจัดการแต่พ่อค้าแม่ค้าคนไทยที่ขายบนอีคอมเมิร์ซโดยใช้กฎหมายตลาดตรงหรือทะเบียนพาณิชย์ สินค้าที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ที่มีอยู่ 144 สินค้าก็ยังไม่มีเพิ่ม มาตรการทุ่มตลาดก็ยังไม่ได้ทำอะไร
แต่ที่เร่งด่วนกว่าคือภาคการเงิน จากความกังวลของสถาบันการเงินที่ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อจากความไม่มั่นใจในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลเอง สิ้นปีที่ผ่านมาสินเชื่อภาคธนาคารลดลง 0.4% ต่ำสุดในรอบ 15 ปี ถ้ารวมทั้งธนาคารพาณิชย์ของเอกชนและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
ก็จะพบว่าลดลงต่ำสุดในรอบ 21 ปี เมื่อไม่เกิดการปล่อยสินเชื่อ เงินทุนในระบบก็ลดลง สินเชื่อ SMEs ลดลง 5% ในขณะที่ทุนใหญ่กู้ได้เพิ่ม 3% อัตราการปฏิเสธสินเชื่อบ้านสูงถึง 50% ทำให้สินเชื่อบ้านที่ปล่อยใหม่ลดลงไป 10% สินเชื่อภาครถยนต์ก็ลดลง 20% และรัฐมนตรีก็ย่อมทราบดีที่สุดว่ารัฐบาลช่วยสร้างความมั่นใจได้ ด้วยการใช้งบประมาณไปลดความเสี่ยงให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อให้คนที่ต้องการซื้อบ้าน
แต่ทั้งปีที่ผ่านมา รัฐบาลอนุมัติงบประมาณให้กับธนาคารรัฐเพื่อปล่อยสินเชื่อบ้านรวมแล้วเพียง 6.3 พันล้านบาท ไม่นับโครงการที่ธนาคารรัฐประกาศออกมาแต่ไม่มีงบประมาณเข้ามาให้ มาตรการสำหรับสินเชื่อ SMEs รัฐบาลก็อนุมัติงบไปเพียง 1.5 หมื่นล้านบาท คำถามจึงอยู่ที่ว่า ในเมื่อรัฐบาลรู้อยู่แล้วว่างบประมาณที่อุดหนุนไปให้สถาบันทางการเงิน 100 บาท
จะเกิดการปล่อยสินเชื่อออกมาได้ถึง 500-1,000 บาท แต่งบประมาณที่ออกมากลับน้อยนิดเมื่อเทียบกับมาตรการแจกเงินหมื่น ทำไมเรื่องเร่งด่วนอย่างนี้รัฐบาลถึงทำได้เพียงน้อยนิด แต่เรื่องที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยรัฐบาลกลับเดินหน้าต่อ
✅ [ รัฐบาลต้องกล้าคิดใหม่ ทำใหญ่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจที่โครงสร้าง ดีกว่าใช้มาตรการเดิมๆ ที่พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล ]
วรภพกล่าวว่า สุดท้ายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นอกจากเรื่องเร่งด่วนที่ยังไม่มีอะไรใหม่แล้ว เรื่องสำคัญที่เป็นเรื่องโครงสร้างของประเทศไทยก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่ถึงแม้การส่งออกจะเพิ่มขึ้น แต่ก็เติบโตน้อยกว่าอัตราของโลก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศก็น้อยกว่าสัดส่วนที่เพื่อนบ้านทำได้ สะท้อนปัญหาที่ต้องขอความชัดเจนทั้งเรื่องการพัฒนาคน การสร้างนวัตกรรม การกำกับตลาดทุน การทลายทุนผูกขาด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ยังไม่เห็นความคืบหน้า
“เมื่อไหร่รัฐบาลจะกล้าทำเรื่องยากแต่จำเป็นสำหรับประเทศไทย ในเมื่อเรื่องที่ทำมาแล้วพิสูจน์ชัดแล้วว่าไม่ได้ผล แต่ก็ยังทำต่อ เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำก็ยังไม่ได้ทำอะไรใหม่ เรื่องสำคัญและยากเมื่อไหร่รัฐบาลจะเริ่มทำ”
.
#พรรคประชาชน #จีดีพี #กระตุ้นเศรษฐกิจ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย