ผมยังจำความรู้สึกกาวอันท่วมท้น ที่ผมสัมผัสได้ ในปีที่แล้ว จากการเจอกับผู้คนส่วนใหญ่ ได้อยู่เลย
ผมยังจำคำพูดประโยคนั้นได้ดีอยู่เลย ที่มีคนคุยกัน แล้วเชียร์ PLUS กันอย่างเต็มที่
"Order ลูกค้าต่างประเทศสั่งไปเยอะมาก จะมีแบรนด์สินค้า Product ใหม่ เป็นของตัวเองแล้วนะ และก็มีการแจกจ่าย ไอ้เครื่องดื่มแบบนั้น (ที่ผมคงไม่เสียเงินซื้อกินรอบที่ 2 แน่ ๆ) ให้แก่คนส่วนใหญ่ได้ลิ้มลอง"
กรณีนี้สอนผมอย่างหนึ่งว่า
"อยู่บ้านนั่งอ่านรายงานประจำปี อ่านหนังสือดี ๆ อ่านบทความดี ๆ เช่นในเครือ LTMH ทุกวัน วันละสัก 3 บทความขึ้นไป ฟังรายการดี ๆ ใน YouTube ที่มีเป็นภาษาอังกฤษให้เลือกสรรอยู่มากมาย จากคนที่มีความรู้ระดับโลก เพราะพวกเค้าลงทุนกันในตลาดระดับโลกจริง และไม่ต้องเสียเงินสักบาท (เพื่อไปงานสัมมนานู่นนี่นั่น ไปฟังคนอื่นทำ Present หุ้นให้เราดู)
ได้ประโยชน์กว่าไป CV หรือใช้ข้อมูล Inside หรือจับกลุ่มคุยกันให้มัน Bias กันอยู่ในกลุ่มนะครับ"
ขอโทษที่ปากหมาไปหน่อยครับ แต่นาน ๆ มาที (ซึ่งหวังว่าจะไม่กลับมาเขียนอีกแล้ว) ผมก็อยากพูดระบายความคิดของผมออกมาบ้าง เพราะไอ้ตอนที่คนกาว PLUS กันอย่างหนักหน่วง ผมก็ได้แต่คิดอยู่ในใจ เก็บไว้ไม่กล้าบอกออกไปว่า "เลอะเทอะ"
เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการเลื่อนมาเห็นโพสต์นี้ และไม่ให้โพสต์นี้มันดูเป็นการตำหนิติเตียนจากความหมั่นไส้เป็นการส่วนตัว จนเกินไปนัก
ผมก็จะขอพูดเรื่องที่เป็นประโยชน์สักนิดนะครับ
ลองสังเกตุที่ Free Cash Flow (FCF) และ IBD ดูหน่อยครับ
จะเห็นว่า FCF ของ PLUS ในปี 2566 และ 2567 มันติดลบ นั่นก็เพราะว่า เงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operations) ไม่พอรายจ่ายเพื่อการลงทุน (Capital Expenditure) มา 2 ปีติดต่อกันแล้วครับ
นั่นจึงสะท้อนออกมาที่ "หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย" หรือ IBD ที่เพิ่มขึ้นครับ
ตรงนี้ก็น่าคิดว่า บริษัทมีการ Leverage เพิ่มมาอีก 100 ล้านบาท ในปี 2567 อาจจะเพื่อเอาเงินมาลงทุนขยายกิจการ ซึ่งอยู่ในส่วน Capital Expenditure
ตรงนี้ก็น่าคิดว่า Operation ของบริษัท ต่อไปจะทำได้ดีจริงไหม ที่ผู้บริหารคิด และนักลงทุนเคยกาว ๆ กัน สุดท้ายบริษัทจะทำได้จริงหรือป่าว
ถ้าทำได้จริง เดี๋ยว FCF ก็จะเป็นบวก แบบถล่มทลาย และเดี๋ยว IBD ก็จะลดลงได้อย่างรวดเร็ว
แต่ถ้ากลับกัน IBD ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และใน Worst Case ที่สุด บริษัทไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดอิสระย่ำแย่ ก็อาจจะเจอปัญหาสภาพคล่องได้ครับ (เหมือนกรณี JKN ที่ผมเคยเขียนไปเมื่อ 2 ปีก่อน)
ตรงนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า บริษัทจะทำได้จริงไหม
ผมเคยดู OppDay ผมก็รู้สึกว่า เพลินดี ฟังแล้วก็เคลิ้มไปด้วยบ่อย ๆ
แต่ผมแค่ยังไม่เชื่อ ว่าไอ้ภาพที่เค้าคิดไว้ มันจะเป็นไปได้จริง ๆ
ผมว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มันยากมากด้วย พูดตรง ๆ
ไอ้การมาบอกว่า เราเข้า Costco เข้า Walmart ได้แล้ว หรือเชนร้านค้าปลีกของต่างประเทศดัง ๆ ได้แล้ว ไม่ได้การันตีว่าคุณจะประสบความสำเร็จ ยั่งยืนได้ในระยะยาว
คุณต้องคิดในเชิง Dynamic ครับ เข้าไปได้ แต่ของคุณไม่มีคนซื้อ งบการตลาดคุณทำไม่ถึง แบรนด์คุณไม่แข็ง เค้าก็พร้อมจะถอดของคุณออกไป ในเวลาไม่นาน แล้วให้เจ้าอื่นมาเอา Shelf คุณไปแทน
เรื่องนี้ผมเคยฟังกรณีของ Monster อยู่ ก็ได้พบความจริงว่า กว่าจะยิ่งใหญ่ได้ เค้าก็เจอปัญหาหนักมาเหมือนกัน
ถ้าเราเคยอ่านเรื่องหลักคิดการจัดระบบ Supply Chain ข้างหลังบ้าน การทำ Franchise ของ Coca-Cola ที่ Charlie Munger เคยพูดไว้บ้าง เราจะพบว่า มันไม่ได้ง่ายเลยครับ ทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และมันไม่ได้ใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่ปีด้วย
พอมองกลับมาที่เรื่องนี้ ก็ดูจะเป็นดาบ 2 คมนะครับ เพราะถ้าคุณไม่พร้อม คุณกระโตกกระตากเกินไป ปัญหาใหญ่ก็จะถาโถมเข้ามาหาคุณ มากกว่าตอนที่คุณยังทำอะไรเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
