22 ก.พ. เวลา 02:35 • การเมือง

🔻เศรษฐกิจประเทศไทย ปี 2567 เต็มปีปีแรก ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย..

🔻เศรษฐกิจประเทศไทย ปี 2567 เต็มปีปีแรก ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่อวดอ้างว่าเชี่ยวชาญ “ปากท้อง” แต่เศรษฐกิจ ปี 67 โตได้เพียง 2.5% หรือ ครึ่งเดียวของเป้าหมาย 5% ที่เคยคุยไว้
ถ้าดูไส้ใน เอาตัวเลขมากาง จะยิ่งเห็นชัดว่า แม้ว่าหลังจาก โครงการ “แจกเงินหมื่น” เฟสแรก เศรษฐกิจก็ยังโตได้น้อยและลดลงด้วยซ้ำ เพราะใน ไตรมาสที่สี่ปี 67 การเติบโต QoQ หรือ เปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า กลับลดลงมาที่ 0.4% QoQ เทียบกับ สามไตรมาสแรกปี 67 ที่โตได้เฉลี่ย 1% QoQ ด้วยซ้ำ
ข้อมูลก็ยืนยันว่า ขนาดกู้เงินมาแจกถึง 145,000 ล้านบาท หรือ 0.8% GDP ก็ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ทุกสำนัก ได้คาดการณ์ไว้ ว่าคือ โตเพียง 0.25 - 0.3% GDP หรือสรุปได้ตามที่คาดไว้ว่าเป็นโครงการที่กู้เงินมาแจก 3 บาท แต่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1 บาท
แต่แม้โครงการแจกเงินหมื่นจะเกิดพายุหมุนตามที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยอวดอ้างไว้ แต่รัฐบาลก็ยังคงเดินหน้า ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ จะแจกเงินหมื่น เฟส 2 & 3 เพิ่มเติมอีกในปี 2568 ด้วยงบประมาณ เกือบ 200,000 ล้านบาท ! คือ กู้มาเต็มเพดาน ทุ่มหมดหน้าตัก แทงม้าตัวเดียว เพื่อทำโครงการที่พิสูจน์มาแล้วว่า กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้จริง!
เพราะปัญหาเศรษฐกิจไทยตอนนี้ ไม่ใช่อยู่ที่ “การบริโภค” แต่อยู่ที่ “การผลิต” ดังนั้นการกู้เงินมาแจกมากขึ้น จึงกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่จริง และ ไม่ตรงเป้า
ภาคการผลิตไทยไม่โตตามการบริโภคของไทยมาซักพักแล้ว GDP ภาคการผลิตลดลง 2 ปีติดต่อกันแล้ว การนำเข้าก็โตเร็วกว่าการส่งออก และ ส่งออกไทยที่โต ก็โตน้อยกว่าการค้าโลก สะท้อนถึงความสามารถการแข่งขันของไทยที่ลดลง
ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเร่งด่วนตั้งแต่ การตีตลาดของสินค้าต่างชาตินำเข้า ที่รัฐบาลต้องแก้ไขอะไรที่มากกว่าแค่การ เก็บ VAT สินเค้านำเข้าที่ราคาน้อยกว่า 1,500 บาท ไม่ว่าจะเป็น การปิดร้านค้าต่างชาติบน Ecommerce (ผิดกฎหมายตลาดตรงและทะเบียนพาณฺิชย์ และ ไม่ใช่แค่ไล่จับคนไทย), เพิ่ม มอก. ภาคบังคับ สินค้าที่ไทยผลิต ให้มากกว่าแค่ 144 มอก. (และกวดขันสินค้านำเข้าที่ไม่มี มอก.ด้วย) แต่รัฐบาลก็ยังไม่ทำ
และเรื่องสำคัญระยะยาว คือ การสร้างนวัตกรรม พัฒนาคน ทลายทุนผูกขาด เพิ่มการแข่งขันและนวัตกรรม ที่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวให้ประเทศไทยกลับมาแข่งขันกับตลาดโลกได้อีกครั้ง ที่รัฐบาลยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ
และปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลยังทำไม่พอ คือ ลดความกังวลของสถาบันการเงิน ที่ไม่เชื่อมั่นในเศรษกิจ จนไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้ ทำให้สินเชื่อธนาคารลดลงมากที่สุดในรอบ 14 ปี
ไส้ใน ตัวเลขยิ่งอาการหนักเมื่อ สืนเชื่อ SMEs ลดลงมากถึง 5% และ ภาคเศรษฐกิจสำคัญอย่างอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง 8% อัตราการปฏิเสธสินเชื่อบ้านขึ้นไปสูงถึง 50%, ยอดขายรถยนต์ก็ร่วงลดลง 26% และ สุดท้ายกระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวมจากกสภาพคล่องที่ตึงตัว เงินในระบบเศรษฐกิจลดลง
เมื่อรัฐบาลอุดหนุนงบประมาณให้สถาบันการเงินน้อยเกินไป เพื่อลดความเสี่ยงของสถาบันการเงินในการปล่อยกู้บ้าน และ SMEs โดยรัฐบาลใช้งบประมาณสนับสนุน สินเชื่อบ้านตลอดปี 67 เพียง 6,373 ล้านบาท และ สินเชื่อ SMEs เพียง 15,848 ล้านบาท เท่านั้น
เทียบกับมาตรการแจกเงินหมื่น 145,000 ล้านบาท เฟสแรก (และ 350,000 ล้านบาท ทั้งสามเฟส) ยิ่งสะท้อนถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ตรงเป้า ไม่ตรงปัญหาสำคัญ และ ไม่สร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กลับมาได้
ถ้ารัฐบาลกู้เงินมาแจก 100 บาท อาจจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 33 บาท แต่ถ้ารัฐบาลอุดหนุนสินเชื่อบ้าน, SMEs 100 บาท ให้ธนาคารมั่นใจและกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จะมีเงินมาเติมในระบบเศรษฐกิจได้เพิ่ม 500 บาท นี่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันถ้าใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กู้มาเต็มเพดาน ทุ่มหมดหน้าตัก แทงม้าตัวเดียว แต่ไม่ตรงเป้า จึงกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้จริง
#สสเติ้ล #พรรคประชาชน #จีดีพี #กระตุ้นเศรษฐกิจ
โฆษณา