22 ก.พ. เวลา 09:28 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] Hurry Up Tomorrow - The Weeknd >>> พรุ่งนี้ที่เนิ่นนาน

-Abel Tesfaye (a.k.a The Weeknd) คือศิลปินที่ไม่ได้มีแค่ทำเพลงฮิตอย่างมือขึ้น และมีเส้นทางชื่อเสียงที่มาได้ไกลมากจากนักร้องหนุ่มลึกลับที่ทำเพลงว่าด้วยด้านมืดของปาร์ตี้ในไตรภาคมิกซ์เทป Trilogy สู่การเป็น Global Pop Star ที่มียอดสตรีมมิ่งรายเดือนติดอันดับต้นๆของโลก แต่วิสัยทัศน์ส่วนตัวที่นับวันยิ่งแหลมคม คิดมาอย่างดี ไม่ได้มุ่งสายชาร์ทอย่างเดียว เขามีแพลนในการสร้างจักรวาลเป็นของตัวเองได้เป็นเรื่องเป็นราว ถึงคราวที่ชายคนนี้ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะปิดฉากเพื่อทิ้งไว้ซึ่งโลกของ The Weeknd
-การเริ่มไตรภาคสุดท้ายตั้งแต่ After Hours และ Dawn FM สองภาคแรกนี้ทำให้ผมมั่นใจอย่างมากในความคิดมาอย่างดีที่ไม่ปล่อยผ่านของ Abel ซึ่งไปได้ไกลกว่าไตรภาคเซ็ตสอง (Kiss Land, Beauty Behind The Madness, Starboy) ที่เจตนารมย์เอียงไปทาง “ค้นฟ้าคว้าดาว” มากกว่าที่จะเล่าเรื่อง จำเป็นต้องแมสก่อนถึงจะสามารถสร้างสตอรี่ที่อยากเล่าได้
-เริ่มจาก After Hours ถูกนำเสนอด้วยตีมท่องราตรีใน LA นครไม่หลับใหล Dawn FM เริ่มแตะความแฟนตาซีที่พาเราไปในแดนสนธยาที่เวลาติดอยู่กับยามรุ่งสางที่ทุกอย่างดูชะงักชะงันประหนึ่งรอการโดนลงทัณฑ์บางอย่าง ซึ่งในอัลบั้มนี้ได้มีการทิ้ง hint บางอย่างถึง “After Life” ในแทร็คโฆษณาปลอม Every Angel Is Terrifying? ทำให้หลายคนคาดเดาไปว่า ปิดไตรภาคด้วยชื่อนี้หรือเปล่า? สรุปแล้วจบที่ชื่อ Hurry Up Tomorrow แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะทิ้งคอนเซปท์ After Life เสียทีเดียว
-อีกทั้งที่มาของ After Life ก็หยอกล้อ After World ใน Purple Rain โลกของ Prince เป็นการชี้ชัดได้ถึงการเจริญรอยตามบุรุษสีม่วงในตำนาน Prince อันเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการเล่าเรื่อง รวมทั้งกลยุทธ์ทำหนังแยกที่บังเอิญเหมือนกันเสียด้วย
-สรุปแล้วไตรภาคชุดนี้ Abel ต้องการจะเล่นเรื่อง Hell or Heaven 3 phase ด้วยกัน After Hours คือ นรก Dawn FM คือ การรอลงทัณฑ์ และ Hurry Up Tomorrow คือ สวรรค์ แรกๆผมก็ไม่เก็ตว่า สวรรค์ตรงไหนวะ? เนื้อในของเพลงส่วนใหญ่ออกจะระทมซะขนาดนั้น
-มี Hint ที่น่าสังเกตใน Dawn FM อยู่ที่ Outro ปิดอัลบั้ม Phantom Regret by Jim (Carrey) ที่น้าแกสวมบทบาทเป็นนักจัดรายการท่านนึงที่หยอดประโยคสำคัญ You gotta be Heaven to see Heaven ที่แก่นสารสื่อความถึงการ “รักตัวเอง” แล้ว “สวรรค์และความสงบ” จะบังเกิดกับตัวท่านเองโดยที่ไม่ต้องเรียกหา คอนเซปท์แห่งการตามหาสวรรค์จึงเป็นแก่นสารหลักของ Hurry Up Tomorrow ตามที่ Abel ได้เคลมไว้นั่นแหละครับ เพียงแต่หนทางไปสู่สวรรค์สำหรับ Abel แทบไม่ง่ายเสียทีเดียว ทำได้มากที่สุดคือ เอาให้ถึงวันพรุ่งนี้โดยเร็วเสียก่อน
-ทั้งนี้ใน Hurry Up Tomorrow ที่เค้าจะพาไปสู่ Paradise ก็นำพาไปสู่ deep conversation ในหลายประเด็นที่แวดล้อมทั้ง The Weeknd และตัว Abel Tesfaye เอง
ตั้งแต่การถกเถียงถึงการมีอยู่ของภพภูมิหน้าในเพลงเปิดอัลบั้ม Wake Me Up ที่แรกเริ่มตัวเขาไม่เชื่อถึงการมีอยู่ของ Afterlife เลยด้วยซ้ำ ตายแล้วตายเลย ทุกอย่างจะมืดมิดแล้วดับสูญไปเองไม่ใช่หรอ? เหลือไว้ซึ่งเพียงแค่ legacy ต่อโลกใบนี้ก็เท่านั้น พรั่งพรูด้วยซาวนด์อิเล็กทรอนิกส์ดิสโก้อันแช่มชื้นและตื่นตาตื่นใจของคู่หูดูโอ้ Justice ที่ชวนเบิกเนตรเข้าสู่ภาคสุดท้ายไม่มากก็น้อย
-หนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาสื่อความในหลายเพลงอย่างมีสาระสำคัญคงหนีไม่พ้น จุดเปลี่ยนทางสุขภาพครั้งสำคัญเมื่อปี 2022 ในตอนกำลังจะแสดงเพลง Alone Again ที่ SoFi Stadium กล่องเสียงกลับมีปัญหาจนไม่สามารถร้องเพลงต่อได้ และเป็นอันต้องหยุดทัวร์ นั่นก็เป็นฝันร้ายที่นักร้องทุกคนต้องเสียวเป็นธรรมดา ถึงขั้นมี skit เป็นฉากสำคัญในแทร็ค “I Can’t Fucking Sing”
-บทสัมภาษณ์นิตยสาร Variety ที่ Abel เล่าถึงเหตุผลที่แท้จริงอันถึงคราววาระปิดตำนานภายใต้ชื่อ The Weeknd แกได้เปรียบเปรยวงการเพลงที่แทบไม่ต่างอะไรจาก Rat Race ที่ทุกอย่างต้องแข่งขันเพื่อชาร์ทและรางวัล ด้วยแบรนด์ดิ้ง The Weeknd ก็ได้ผ่านการท้าทายมาทุกรูปแบบแล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกจากวงจรนี้เสียที ตัวเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า “วันพรุ่งนี้” หลังจากสิ้นชื่อ The Weeknd นั้นจะเป็นเช่นไร ?
นี่คือการปิดฉากที่โคตรจะ personal ครุ่นคิดกับตัวเอง แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งความหวือหวาตามสไตล์ของ Abel ที่ทุกอย่างยังคงแพงและเล่นใหญ่เช่นเคย เสริมทัพด้วยบุคลากรแสนคุ้นเคย อาทิเช่น Max Martin, Pharrell Williams, Metro Boomin’, Mike Dean, Oneohtrix Point Never
-Cry For Me เป็นความพยายามเรียกร้องการได้รับการเติมเต็มบางอย่างจากคนรักที่อย่างน้อยก็ควรสงสารเขา พอๆกับที่เขาเคยสงสารคนรักบ้าง ซึ่งโดยนัยการขอความเห็นอกเห็นใจในเพลงนี้ก็มาจากเหตุการณ์ที่ Abel เสียงหายกระทันหันกลางงานคอนเสิร์ตที่กล่าวไว้ข้างต้น
หารู้ไม่ว่า สิ่งที่น่าสนุกต่อจากนี้คือการส่องชื่อเพลงที่ชวนให้จับสังเกตและเชื่อมโยงกับหลายเพลงเก่าที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า Abel จงใจหยิบจับเพลงเก่าที่อยู่ในมือทั้งหลายมาเล่าในทางตรงกันข้ามบ้าง นั่นก็ทำให้เราเริ่มเห็นมุมมองที่เปลี่ยนไปจากเดิมในทางที่ดีพอสมควร ซึ่ง Cry For Me ก็คือขั้วตรงข้ามกับ Save Your Tears นั่นเอง
-São Paulo คือเพลงแดนซ์ Brazilian Funk ที่ได้ศิลปินสาวบราซิล Anitta มาร่วมแจม เน้นความสนุกคั่นเวลาเพื่อเบรคก่อนที่จะพรรณนาถึงประเด็นความระทมอื่นๆต่อจากนี้ ถือเป็นการสร้างสีสันสไตล์ผับมืดๆกระตุ้นต่อมอะดรีนาลีน แล้วทุกอย่างก็ถูกเร่งโทนให้พีค วูบวาบถึงขีดสุดด้วย theme song สั้นๆ Until We’re Skin & Bones ประหนึ่งซ้อมโดนเผาตามชื่อเพลง “จนกว่าเราจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก” (ใช้คำว่า Die ตรงๆก็แลดูธรรมดาไปหน่อย) เป็นโมเมนต์การตัดจบความสนุกได้โคตรเร้าใจในแบบที่ไม่เคยฟังในอัลบั้มของศิลปินท่านไหนๆมาก่อน
-Baptized in Fear มาในจังหวะดุ่มๆพร้อมด้วยความรู้สึกตุ้มๆต่อมๆของการเข้าสู่กระบวนการศีลจุ่มที่แลดูอึดอัดและหน่วงน้ำเป็นพิเศษ ซึ่งการเปรียบเปรยตัวละคร The Weeknd ที่จมในอ่างน้ำใน Verse 1 เป็นการคารวะหน้าปก House of Balloons โดยเปลี่ยนจากสาวเปลือยกายที่พี้ยาหลังปาร์ตี้อย่างหนักตามหน้าปก มาเป็นตัวของ The Weeknd ที่กลับเป็นเหยื่อแห่งบาปหนาเสียเอง
นั่นทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับเงามืดที่ต้องการจะดูดวิญญาณเขาไป ทั้งนี้มันก็เป็นจุดวัดใจที่ว่า เขายินดีที่จะละทิ้ง The Weeknd เพื่อการคืนชีพสู่การเป็น Abel คนเดิมได้หรือไม่ ? ทั้งๆที่แฟนเพลงก็อยากให้เขาเป็น The Weeknd ต่อไป
-เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า Abel พยายามละทิ้งความกลัวในการออกร่มเงา The Weeknd ไปสู่การลองเปิดใจในเพลง Open Hearts ที่ค่อนข้างซื่อตรงต่อตัวเอง จากคนที่ด้านชาในเพลง Heartless สู่คนที่พร้อมโอบรับพลังงานแห่งการเอาใจใส่โดยที่ไม่ต้องเรียกร้องมากนัก ถึงจะนำเสนอด้วยน้ำเสียงหลอนๆโทนต่ำ ไม่เน้นหวาน แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังงานความหวังที่แลดูอบอุ่นและฮีลใจอย่างที่ไม่เคยสัมผัสในงานเพลงไหนๆของเขามาก่อน เป็นอีกเพลงถัดจาก Wake Me Up ที่สร้างนิมิตรหมายที่ดีโคตรๆเลยครับ
แต่จะให้จบด้วยนิมิตรหมายที่ดีก็จะไม่ต่างจากการดูหนังสั้นที่จบได้ไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น โหมด Internal Battle ก็ยังเป็นด่านพิสูจน์เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากบ่วงแห่งการเสพติด ซึ่งก็มาพร้อมกับความหลงไหลเคลิ้บเคลิ้มที่กลับมาทำร้ายตัวเองอีกจนได้
-Opening Night และ Reflections Laughing คือเพลงที่พาเข้าสู่ด้านมืดของชื่อเสียงที่นำพาซึ่งการทำร้ายตัวเองด้วยเหล้ายาเพื่อกลบเกลื่อนความโดดเดี่ยวที่ได้รับจากการพาตัวเองไปสู่จุดสูงสุดได้ เพลงแรกปูเป็นอินโทรสู่เพลงหลังที่แสดงให้เห็นถึงสภาวะอันร่อแร่ของคนที่เพิ่งจัดยาอะไรซักอย่างหรือดื่มเหล้าจนเมาได้ที่
ในเพลง Reflections Laughing ก็นำเข้าบรรยากาศความดาร์คแบบแปลกๆเหมือนในยุค Trilogy แรกเริ่มหลายจุดด้วยกัน มีทั้งบรรยากาศสุดดรายชวนนึกถึงเพลง Rolling Stone ในมิกซ์เทปชุด Thursday เพียงแต่ยังไม่ดิบเท่า เพราะโปรดักชั่นจัดหนักการโหมโรงในช่วงคอรัสพอสมควร โดยเฉพาะการมาของเจ๊ Florence Welch ในฐานะคอรัสเสริมที่เพิ่มความอหังการได้อย่างน่าขนลุก
บทสนทนาปลายสายกับสาวปริศนาที่ดูท่าทางเป็นห่วง The Weeknd ที่ไม่อยากให้ใช้ชีวิตหนักหน่วงเกินไป โดยที่อุตสาหกรรมเพลงก็ยังคงเอาเปรียบอยู่ร่ำไป ก่อนที่จะโดน pitch down ให้ได้รับรู้ถึงการเมามายของ The Weeknd ที่เริ่มหลอนฟังคนไม่เป็นคนอีกต่อไป
ส่งไม้ต่อให้กับ Travis Scott ที่มาแบบ pitched down หยอกล้อตามภาพในหัวของคนเมาต่อเนื่อง เป็นความเซอร์ไพร์สที่ชวนระลึกถึงเพลง Initiation ในมิกซ์เทปชุด Echoes of Silence อีกเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใด ท่อนของ Travis ถูกดัดแปลงในสไตล์คีย์ต่ำแบบสับๆ chopped and screw ก็เพื่อคารวะ DJ Screw ผู้ล่วงลับแห่ง Houston Texas บ้านของ Travis อีกด้วย นี่จึงเป็นเพลงที่รวมฟีทเจอร์ระดับ avengers ได้แหล่มชัดที่สุด
-Enjoy The Show เป็นการประชดประชันถึง The Weeknd ร่างเดิมที่ยังคงความอันตราย พี้ยาปาร์ตี้หนัก ช่างแม่งวันพรุ่งนี้ XO till we overdose ในเมื่อความตายเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นการส่งสาสน์โดยนัยถึงแฟนเพลงที่มักติดใจกับภาพลักษณ์สุดฮาร์ดคอให้เอ็นจอยไปกับผลงานที่เหลืออยู่ให้สาแก่ใจ และหวังว่า การจากไปของ The Weeknd จะถูกไว้อาลัยอย่างที่ควรจะเป็นด้วย
ในประโยค I don’t wanna make it past thirty-four. เป็นการตอกย้ำที่ชัดเจนถึงอายุขัยของ The Weeknd ที่สิริรวม 34 ปี ซึ่งก็พอดีกับอัลบั้มสุดท้ายนี้ปล่อยทันก่อนวันเกิดครบรอบ 35 ปี เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพอดี
การได้ Future มาร่วมแจมก็เหมาะเหม็งพอที่จะเล่าบริบทนี้ในฐานะแร็ปเปอร์นักดื่มลีนและเล่น Percocet นอกจากที่จะทำหน้าที่เป็นนักร้องขับขานที่โคตรดีแล้ว ยังพูดเอาใจเจ้าของเพลงด้วยการเล่นวลีจากชื่อเพลงฮิตแจ้งเกิดลำดับแรกๆ Can’t Feel My Face ใส่เข้ามาใน verse ให้ได้เตะหูชาวด้อม XO
ด้วยประวัติศาสตร์ความแมสของเพลง Can’t Feel My Face ก็ทำให้ถูกเข้าใจผิดเยอะว่า นี่เป็นเพลงรักของคนทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอสาวที่แอบชอบ ที่ไหนได้นี่คือเพลงของคนชอบพี้ยาต่างหาก การที่ Future ใส่วลีชื่อเพลงใน verse เป็นอะไรที่โคตรฉลาดในการเชื่อมโยงเลยครับ
-การมาแจมของ Future ก็ไม่ได้จบลงแค่เพลงเดียว แกยังไป cameo ในเพลงถัดมาอย่าง Given Up On Me ที่ยังคงเล่าถึงความสัมพันธ์สุดอันตรายของการเสพยาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำในการตกหลุมพรางที่ยากจะตัดขาดจนเริ่มจะกลับมาเหลวแหลกอีกครั้ง การเบรคด้วยแจ๊สในพาร์ทสองจึงยังชะล่าใจในการค้นพบทางสว่างเสียทีเดียว ยังคงเกิดความรู้สึกดีในแบบดาบสองคม การเพรียกหาจากแฟนเพลงที่ยังคงต้องการ The Weeknd และแน่นอนว่า การกลับมาติดยาอีกครั้งคือหนทางที่จะทำให้เขาเกิดความรู้สึก(ดีย์)อีกครั้งได้
-I Can’t Wait To Get There เป็นอาร์แอนด์บี-โซลนุ่มๆ คอรัสสุดรื่นรมย์เหมือนได้ลายเซ็นต์มาจาก Tyler The Creator อีกหนึ่งความเซอร์ไพร์สที่เราไม่ค่อยได้เห็นในเพลงของ The Weeknd มากนัก ซึ่งถือว่าดีที่จะลดความตึงด้วย vibe ที่นุ่มนวลแบบนี้บ้าง แต่ก็ไม่วายที่จะเป็นเพลงโชว์เหนือเพื่อดิส Drake อย่างต่อเนื่อง
ถ้าใครได้ติดตาม Beef Kendrick VS Drake ก็น่าจะทัน Beef รายทางระหว่าง Abel และ Drake ที่ดูเหมือนว่าจะร้าวหนักต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ เพราะการ์ดและคนสนิทของแต่ละฝ่ายต่างถูกซุ่มยิงของจริงในเวลาไล่เลี่ยกัน และสื่อก็ต่างให้ซุบซิบอย่างหนาหูว่า นี่เป็นการเปิดศึกนอกเกมส์ระหว่างค่ายเพลงทรงอิทธิพลแดนแคนาดา XO และ OVO ของจริง
ทั้งนี้ Abel ก็ปฏิเสธว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการไปบุกยิงการ์ดหน้าบ้านของ Drake ที่โตรอนโต ตัดพ้อสื่อที่ให้ข้อมูลผิดๆและป้ายสีให้เขาเสียหาย และส่งสาสน์ถึง DJ Akademiks นายแบกของ Drake ด้วยการเล่นคำในประโยค High school dropout, chillin' with academics เป็นการโชว์เหนือข่ม Drake แบบอ้อมๆว่า “มึงมันพวกดรอปเรียนกลางคัน กูอยู่เรียนจบ high school ก่อนมึงเลยด้วยซ้ำ”
หลังจากที่อัลบั้มถูกปล่อย Abel แสบต่อเนื่องด้วยการโพสต์รูปหนังสือรุ่นจบการศึกษาเป็นการตอกย้ำถึงการเรียนจบ high school ตามที่เคลมไว้ในเพลงนี้
-Timeless เป็นอีกเพลงที่มาโหมดความสนุกคั่นเวลาถัดจาก São Paulo ที่ไม่ได้ยึดติดกับคอนเซปท์มากนัก Playboi Carti มาร่วมแจมในเชิงร่วมพันธมิตร XO-Double O และยังคง switch โทนเสียงไปมาระหว่าง baby voice และ deep voice ให้เราคาดเดาอะไรไม่ได้ (แม้แต่วันปล่อยอัลบั้มใหม่) พรั่งพรูด้วยบีทดิจิตอลสุดล้ำปรุงรสโดย Pharell Williams
ถ้ามองในเชิงอิงกับคอนเซปท์ของอัลบั้ม นี่คือ Tomorrow แห่งแสงรำไรที่นำพาความเยาว์วัยกลับเข้ามาอีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนเวลาจะไม่มีวันหมด ไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์อย่างที่เคยเป็นในเพลง Out of Time ที่ทุกอย่างดูจะสายเกินไปซะเหลือเกิน เป็นขั้วตรงข้ามที่ชวนระลึกถึง ไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างสองเพลงนี้แต่อย่างใด
-สองเพลงถัดมาเสมือนเปิดโหมดเที่ยวและย้อนเวลาในคราเดียวกัน เริ่มจาก Niagara Falls เป็นการชะล้างความกังวลที่จะรักหรือให้ใครซักคนเข้ามาในชีวิตอย่างที่เคยมีมาตลอดในหลายเพลงที่แล้วมา เป็นความพยายามเปิดใจหลังจากที่ประตูนั้นถูกเปิดออกในเพลง Open Hearts มาแล้ว ถึงขั้นยอมกล้ำกลืนศักดิ์ศรีตัวเอง ไม่สนว่าจะเจ็บอีกต่อไป
-หลังจากไปเที่ยวน้ำตก Niagara ก็ดูเหมือนจะถูกย้อนเวลากลับไปยังเมืองที่เขาเคยหนีออกมา เพียงเพราะเคยมี one night stand กับสาวที่สตูดิโอแล้วเกิดความผิดหวังจนฝังใจไปกับเมืองนั้นด้วยอย่างที่พรรณนาในเพลง Escape From LA
สู่ความรู้สึก nostalgia ในเพลง Take Me Back to LA ด้วยท่วงทำนอง synth-pop เต็มเปี่ยมด้วยพลังงานมูฟออนที่ดูเหมือนว่าจะแยกแยะคนรักเก่าและสถานที่ออกจากกันได้แล้ว ซื่อตรงต่อความรู้สึกแย่ๆได้ดีขึ้น โอเคที่จะกรีดร้อง และยอมรับสภาพถึงความโดดเดี่ยวที่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกโอเคเพื่อกลบเกลื่อนความจริงแต่อย่างใด เป็นการจบนิราศ LA ที่เปี่ยมด้วยความหวังสุดๆ
-Big Sleep กลิ่นอาย SCORE หนังชัดเจนที่สุด Giorgio Moroder สำแดงความเก๋าเกมส์ในการขับเคลื่อนบรรยากาศขับกล่อมสมชื่อแปลเป็นไทย “หลับครั้งใหญ่” ที่เริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่เหลวแหลกในอดีตจนรู้สึกว่าเป็นการเสียเวลาชีวิตจนเกินไป จะดีกว่ามั้ยถ้าการหลับครั้งนี้จะเป็นค่ำคืนตลอดกาลไปยาวๆเลย
-Give Me Mercy นำเข้ากลิ่นอาย Christian Contemporary เบรคอารมณ์หนักๆด้วยการสารภาพบาปต่อพระเจ้า เพื่อหวังจะได้รับการให้อภัย Drive บีทสุดบรื้น เร่งความเร็วเพื่อให้ถึง “วันพรุ่งนี้” ใจจะขาด ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ถึงการขับรถหนี The Weeknd เพื่อการเกิดใหม่ในนามของ Abel Tesfaye
-มาถึง 4 เพลงสุดท้ายที่เริ่มเป็นไคล์แม็กซ์สู่การสั่งลา และ goodbye note ในหลายอย่างๆ เริ่มตั้งแต่ The Abyss ถือเป็นโมเมนต์บอกลา “สาวในโลกของเพลง The Weeknd” (Lana Del Rey) ได้อย่างสมเกียรติและสมการรอคอยที่ได้เห็นทั้งคู่ได้ร่วมงานอีกครั้ง มาในบริบทยื้อสาวในวันสิ้นโลกซะด้วย ไม่ต้องห่วงว่าเธอจะมาเป็นพรายกระซิบแบบเดียวกับเพลง Snow on the Beach ของนักร้องสาวตัว T แน่นอน เธอมีสคริปที่เหมือนสาวลึกลับที่มีท่าทีไม่ได้รับรักและการเชิดชูจาก The Weeknd เสียทีเดียว
-Red Terror ท่วงทำนองอิเล็กทรอนิกส์ฉวัดเฉวียนกลิ่นอายทดลองสุดๆ ทดลองใส่หัวโขนความเป็นแม่คนที่ลองมองตัวเขาเองในฐานะเด็กเกิดใหม่ที่โตมาแล้วทำแต่เรื่องผิดหวังให้หนักใจอยู่ตลอดๆ ด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อแม่ ทำให้เขาคิดได้ว่า เขาไม่ควรซ้ำรอยเดิมเพื่อเป็นพ่อคนที่ดีและ healthy กว่าเดิม
การเป็นพ่อคนถือเป็น future plan ของ Abel ด้วย ในท่อน Outro ทิ้งท้ายด้วยบทกลอนที่ใช้เป็นธรรมเนียมงานศพเป็นการชี้ชัดถึงการตอกฝาโลง The Weeknd พร้อมด้วยคำส่งเสียสุดเท่ห์ว่า Call me by the old, familiar name โปรดเรียกผมด้วยชื่อดั้งเดิมที่คุ้นเคย
-Without Warning ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญที่ขมวดปมที่เขาปูทางมาตั้งแต่ต้นอัลบั้ม เผลอๆอาจจะเป็นปมที่ Abel พรรณนามาโดยตลอดเกือบทุกผลงานก็เป็นได้ ตั้งแต่การเป็นไอ้เด็กหนุ่มที่สะสมสารเคมีจากผงยา มาจนถึงการสูญเสียเสียงร้องกะทันหันกลางงานคอนเสิร์ต SoFi Stadium เมื่อปี 2022 ปมชีวิตชื่อเสียงที่มีทั้งคนสรรเสริญ และ haters ที่อยากจะเห็นเขาล้มเหลวในสายอาชีพ
รวมถึงการตกอยู่ในสถานการณ์ของคนที่มาได้ไกลและสูงมากๆเสียจนแทบไม่รู้เลยว่า แสงแห่งพรุ่งนี้หน้าตาเป็นเช่นไร ? ในเมื่อใบหน้าของเขาแทบจะแตะฟ้าได้เลยด้วยซ้ำ อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นหัวใจของเพลงนี้อยู่ที่แซมเปิ้ลเพลง Hurry Up Tomorrow ของ The Nu'rons อันเป็นชื่อเดียวกับอัลบั้มสุดท้ายนี้ด้วย ถือเป็นการสร้าง moment of truth ที่ลึกซึ้งในทุกอณูเลยครับ
-ปิดท้ายของจริงด้วยไตเติ้ลแทร็ค Hurry Up Tomorrow ที่คลายปมด้วยบัลลาดอันแสนไพเราะ พร้อมยกภูเขาออกจากบ่าในแบบไม่มีอะไรจะเสีย ระบายความรู้สึกผิดต่อแม่ที่ทำให้ผิดหวังในหลายอย่าง โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์อันแสนเหลวแหลกในอดีต การเติบโตโดยไม่มีพ่อถือเป็นปมที่ทำให้เขาหันไปพึ่งยาและเตัวห็นคุณค่าในตัวเองต่ำอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงปมเรื่องความรักที่ได้แหลกสลายจากความนิสัยไม่ดีของตัวเอง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองเสียทีเดียว สิ่งที่ Abel ต้องการไม่มีอะไรไปมากกว่าความสงบสุข หลุดพ้นจากบ่วงแห่งการเสพติดและการทำร้ายตัวเองทั้งหลาย ใครล่ะตายแล้วไม่อยากไปสวรรค์?
เป็นการจบบทสรุปในเชิงรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเขาเอง และทิ้งไว้ซึ่งลูปแห่งโลกของ The Weeknd ด้วยเสียงลมอันปลิดปลิวที่ transition ไปสู่อินโทรเพลง High For This อันเป็นเพลงแรกประจำมิกซ์เทปชุดแรก House of Balloons นั่นเอง
-ที่ผมบอกว่า อัลบั้มนี้โคตรส่วนตัวเนี่ย ไม่ไกลเกินจริงเลยครับ เพราะนี่คืออัลบั้มเปิดโหมดเล่าเรื่อง ไม่เผื่อไว้สำหรับ section เพลงฮิต commercial pop ไม่แปลกใจที่ไม่ค่อยมีเพลงชูโรงระดับเดียวกับ Blinding Lights, Save Your Tears หรือ Out of Time
-พีคสุดก็มีแค่ Timeless ที่พาไปแตะได้อันดับที่ 3 ก็เท่านั้น แต่ก็ยังไม่มีพลังเท่าเพลงฮิตของสองชุดก่อนข้างต้น นอกนั้นผมยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ของเพลงที่เหลือเลยครับ กลายเป็นว่าพาร์ทสุดท้ายก็ถือว่าฟังยากกว่าสองชุดก่อนหน้านั้น ความ catchy ไม่ใช่ว่าไม่หายไป แต่แกเน้นสร้างจิ๊กซอว์เล่าเรื่องปิดท้ายอย่างเต็มที่จริงๆ
-อุปสรรคที่สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้น ความยาวของอัลบั้มที่ล่อไปเกือบชั่วโมงครึ่ง วัยรุ่น Gen Z เหล่า Gen Y สมาธิสั้นก็อาจจะเหนื่อยหน่อยที่จะตะลุยมหากาพย์ชุดนี้ และผมก็เห็นด้วยว่า มีบางเพลงที่ดูไม่จำเป็นและเริ่มยืดเยื้อ โดยเฉพาะบางเพลงที่มาแนวโบนัสแทร็คเสียมากกว่า อาทิเช่น Timeless, Given Up On Me, Drive, Give Me Mercy ที่ไม่ได้สร้างความพิเศษอะไรไปมากกว่าความตั้งใจจะสร้างซีนยื้อเวลาปิดฉาก The Weeknd
-ความตั้งใจท้าทายระบบสตรีมมิ่งยุคปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับความรวบรัด อัลบั้มต้องมาใน run time เฉลี่ย 30-40 นาที กลับกลายเป็นว่า Abel เซอร์วิสทั้งตัวเองและคนที่ติดตามเขามาตั้งแต่ผลงานยุคแรกก่อนมีชื่อเสียง ตั้งแต่ Trilogy เซ็ตแรก คุณจะอินกับการเชื่อมโยงปมในอดีตเหล่านั้นที่จะได้รับการสะสางในพาร์ทนี้ได้ดียิ่งยวดเลยครับ
แต่ถ้าคุณเริ่มฟังตั้งแต่ภาค After Hours และ Dawn FM ก็ถือว่ายังไม่ตกขบวนการปิดฉากนี้ไปมากนัก แต่ก็ขอยืนยันด้วยว่า การฟังสองอัลบั้มก่อนหน้านี้เป็นการบ้านที่จำเป็นต่อการซึมซับมหากาพย์ Heaven or Hell เช่นกัน
-ความเก่งกาจอีกอย่างคือ การประยุกต์ mindset ทำหนังมาใส่ผลงานเพลงโดยที่ไม่ใส่ dialogue จากหนังลงในเพลงจนเกินไป นั่นก็ทำให้ลดความน่าเป็นห่วงที่ว่า ฟังอัลบั้มก่อนที่จะไปดูหนังแล้วมันจะอินได้เต็มที่หรือไม่? ผมเชื่อว่า ทุกคนที่ได้ฟัง HUT น่าจะรู้สึกอินได้โดยที่ไม่ต้องรอดูหนังก่อนเลยด้วยซ้ำ (อันนี้ขอคิดเผื่อกรณีที่ไม่มีผู้จัดจำหน่ายในไทยเอาหนังมาฉายในไทยด้วยเลย)
-อย่างที่บอกไป นี่คืออัลบั้มแห่งการสะสางปมและปิดฉาก The Weeknd ในแบบที่คนฟัง The Weeknd หลายๆอัลบั้มต่างก็รู้ถึงปมต่างๆอยู่แล้ว ศิลปินบางท่านเซ็ตจักรวาลให้ยุ่งยากด้วยการรังสรรค์นิยายมาซ้อนทับและปั้นตุ๊กตาแยกออกมาจากตัวศิลปินอีกที แถมยังมี easter eggs รายทางนอกอัลบั้มอีกต่างหาก นั่นอาจสร้างภาระให้คนฟังโดยไม่จำเป็น
-แต่สำหรับ Abel เขามีแพลนที่ชัดเจนในการเริ่ม kick-off จาก After Hours และยึดเรื่องราวของตัวเองที่น่าจะใกล้ตัวหลายคนเอามาดัดแปลงให้เป็นปลายเปิดที่ทุกคนสามารถตีความตามประสบการณ์ของตัวเองได้เลย ซึ่ง Abel ก็ตอกย้ำเรื่องนี้ในบทสัมภาษณ์ของ Complex ไว้ชัดเจนว่า ไม่มีคำตอบที่ผิด การตีความขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลเลย (โอเคสบายใจล่ะ)
-จากประโยค You gotta be Heaven to see Heaven ใน Phantom Regret by Jim สู่บทสรุปปิดท้าย Hurry Up Tomorrow ผมมองว่า Abel มองเกมส์การปิดฉากได้ขาดมากๆด้วย mindset ที่ว่า It never ends until you end it. มันจะไม่จบจนกว่าคุณจะจบมันเอง
-คำตอบของนิยามแห่ง “สวรรค์” และ “ความสงบสุข” น่าจะอยู่ที่ “การตื่นรู้” ถึงการขึ้นๆลงๆของชื่อเสียง การเลือกที่จะถอนตัวตอนขาขึ้นก่อนที่จะเจอกับสภาวะอิ่มตัว การหาทางออกด้วยการปิดฉากนามแฝงแล้วเกิดใหม่ในนามดั้งเดิมของตัวเองเนี่ย ช่างเป็นกลยุทธ์ที่เหนือเมฆมากๆ มีไม่บ่อยที่ศิลปินจะสามารถสร้างโอกาสให้ตัวเองได้ลอกคราบนามแฝงแล้วเกิดใหม่เป็นตัวเองได้
-รู้อยู่แล้วว่า Hurry Up Tomorrow ไม่ใช่งานเพลงที่ยกระดับสู่การเป็น masterpiece ที่ไปโดนใจมหาชนคนหมู่มากได้อย่างเห็นพ้องต้องกันด้วยความเป็นส่วนตัวแบบสุดทาง แต่สามารถประสบความสำเร็จในการหาทางลงให้กับ The Weeknd โดยที่ไม่มีอะไรติดค้างไปมากกว่านี้ ศิลปินกล้าส่วนตัวกับตัวเองแล้ว ผลลัพธ์เลยเป็นความปัจเจกที่ส่วนตัวสำหรับแฟนเพลงที่ได้เข้ามาสู่โลกของ The Weeknd อย่างเข้มข้นเช่นกัน
-นั่นทำให้ผมโคตรเข้าใจและไม่ถือสาในเรื่องปัจจัยความยาวของอัลบั้มนี้มากนัก ลึกๆแล้วถ้าลดหน่อยก็จะดีมากๆ ไม่รู้สึกเสียดายที่ Abel ละทิ้ง The Weeknd ผมแอบตื่นเต้นเลยด้วยซ้ำว่า Era ใหม่ในนามดั้งเดิมจะ represent ด้วยแนวทางแบบไหน ? จะมืดหรือสว่าง เราแทบไม่รู้เลยครับ รู้แต่ว่า นี่คือนิมิตรหมายที่โคตรดีสำหรับวันมะรืนที่จะมาถึง
Mission Complete
Top Tracks: Wake Me Up, Cry For Me, São Paulo, Until We're Skin & Bones, Baptized In Fear, *** Open Hearts, Reflections Laughing, Enjoy The Show, Given Up On Me, I Can't Wait To Get There, Take Me Back To LA, Big Sleep, The Abyss, Red Terror, Without a Warning, Hurry Up Tomorrow
Give 8/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา