เมื่อวาน เวลา 09:10 • สิ่งแวดล้อม

"เผาป่า" = ปมซับซ้อนระหว่างวิถีชีวิตและวิกฤตสิ่งแวดล้อม

การเผาป่าในไทยเป็นประเด็นร้อนที่มักถูกมองเป็นปัญหาเชิงนิเวศอย่างเดียว แต่เบื้องหลังการจุดไฟแต่ละครั้งในทุกๆ ปี...ซ่อนความซับซ้อนของวิถีชีวิต วัฒนธรรม และข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่สั่งสมมานาน
รากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ”ไฟกับวิถีมนุษย์“
มนุษย์ใช้ไฟเป็นเครื่องมือในการอยู่รอดมานับหมื่นปี ตั้งแต่ยุค Homo erectus จนถึงปัจจุบัน ในไทย หลักฐานทางโบราณคดีชี้ว่าชุมชนโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้ไฟเพื่อการเกษตรและการเก็บหาของป่ามากว่า 12,000 ปี เช่น การถางพื้นที่ทำไร่หมุนเวียน (ไร่เลื่อนลอย) ของชาวไทยภูเขา ซึ่งอาศัยการเผาเพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดินชั่วคราว แม้วิธีนี้จะส่งผลเสียในระยะยาว แต่ในอดีตที่ประชากรน้อยและป่ากว้างใหญ่ ระบบนิเวศฟื้นตัวได้เอง
เหตุผลเชิงปฏิบัติ เมื่อไฟคือ "ทางเลือกที่จำเป็นได้อย่างไร?"
1. การเกษตรแบบดั้งเดิม – เกษตรกรในพื้นที่สูงยังคงเผาเพื่อเตรียมพื้นที่ปลูกพืชไร่ เนื่องจากเป็นวิธีที่รวดเร็วและประหยัด แม้รู้ว่าดินจะเสื่อมสภาพ แต่ทางเลือกอื่น เช่น การใช้เครื่องจักรหรือปุ๋ยอินทรีย์ กลับมีต้นทุนสูงและเข้าถึงยากขึ้นในยุคทุนนิยม
2. เก็บหาของป่า – ความเชื่อในท้องถิ่น เช่น "ไฟช่วยให้เห็ดเผาะ-ผักหวานงอกดี" ยังฝังรากลึกในชุมชน แม้จะมีการเผยแพร่ความรู้จากงานวิจัยบางชิ้นยืนยันว่าไฟกระตุ้นการเติบโตของเห็ดบางชนิด แต่ก็สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศโดยรวมก็ตาม
3. เศรษฐกิจพึ่งพิง – ของป่าเป็นรายได้เสริมสำคัญ หากไม่มีไฟ ชาวบ้านอาจขาดทุนจนต้องกู้หนี้หรือขายที่ดิน เป็นต้น
ความท้าทายสมัยใหม่เมื่อ “ไฟเกินควบคุม”
ขณะที่การเผาเพื่อยังชีพลดลง ไฟป่าสมัยใหม่กลับรุนแรงขึ้นจากปัจจัยอื่น เช่น
* การขยายตัวของเกษตรอุตสาหกรรม – เผาตอซังข้าวโพดหรืออ้อยเพื่อลดค่าเก็บเกี่ยว
* ความขัดแย้งกับรัฐ – บางกรณีเกิดจากการเผาเพื่อตอบโต้นโยบายจัดการที่ดิน
* ความประมาท – เช่น การทิ้งก้นบุหรี่หรือจุดไฟปิกนิกไม่ดับให้สนิท เป็นต้น
* นายทุนหรือผู้มีอิทธิพล - อยู่เบื้องหลัง เกษตรกร เพื่อให้ใช้วิธีง่าย ถูก และเร็วในการเร่งผลผลิต เป็นต้น
เราต้องหาทางออกให้เปลี่ยนจาก "ห้ามเผา" เป็น "จัดการไฟ"
การแก้ปัญหาต้องเข้าใจว่า "การเผา" ไม่ใช่ความชั่วร้ายเสมอไป แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้อย่างชาญฉลาด ดังตัวอย่างที่ดีจากประเทศออสเตรเลียที่ชนพื้นเมืองใช้ไฟควบคุมเชื้อเพลิงในป่ามาหลายหมื่นปี โดยไม่ทำลายระบบนิเวศ ไทยสามารถปรับใช้แนวคิดนี้ผ่าน
1. ส่งเสริมการเผาเชิงนิเวศ (Ecological Burning) – ฝึกชุมชนให้จุดไฟในฤดูที่เหมาะสมและควบคุมได้
2. พัฒนาทางเลือกเศรษฐกิจ – สนับสนุนพืชทดแทนหรือการท่องเที่ยวชุมชนเพื่อลดการพึ่งพิงของป่า
3. เทคโนโลยีเข้าถึง – รัฐต้องแจกจ่ายเครื่องจักรเกษตรราคาถูก และส่งเสริมการทำเกษตรคาร์บอนต่ำ (ไม่ใช่แจกเงินดิจิตัลวอลเล็ตอย่างเดียว)
ดังนั้น การเหมารวมว่า "คนเผาป่า = คนทำลายสิ่งแวดล้อม" เป็นมุมมองที่อาจไม่ถูกทั้งหมด แท้จริงแล้ว หลายชุมชนต้องการเพียงทางอยู่รอดที่สมดุลระหว่างชีวิตและธรรมชาติ
"ไฟอาจทำลาย... แต่ถ้าจัดการเป็น ไฟก็สร้างสมดุลได้"
โจทย์สำคัญของสังคมไทยคือการหยุดมองปัญหาเป็นขาว-ดำ แล้วร่วมกันออกแบบนโยบายที่รับฟังทุกฝ่าย เพราะเพียงแค่กฎหมายเข้มงวดโดยไม่เข้าใจวิถีชีวิต ย่อมไม่ยั่งยืนเท่าการสร้างทางเลือกที่เดินไปด้วยกันได้
#วันละเรื่องสองเรื่อง
โฆษณา