วันนี้ เวลา 10:17 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ตกรถหุ้นทศเทพจีน?/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)

การต่อสู้หรือแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนใน “สงครามเย็น” ยุคใหม่ดูเหมือนว่ากำลังรุนแรงขึ้นในทุกด้าน ตั้งแต่การเมืองระหว่างประเทศไปจนถึงเทคโนโลยีซึ่งเป็นเครื่องวัดว่าใครจะเป็น “ผู้ชนะ” และดัชนีชี้วัดตัวหนึ่งที่สำคัญมากในโลกยุคใหม่ก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์หรือราคาหุ้นที่เป็นตัวนำของประเทศ ซึ่งนาทีนี้ก็คือ “หุ้นเท็ค” ขนาดใหญ่
2
ก่อนหน้านี้ซัก 1-2 ปี ดูเหมือนว่าอเมริกาจะนำไปมาก อานิสงค์จากเทคโนโลยี AI ซึ่งนำโดยหุ้น NVIDIA ตามด้วย TESLA หุ้นรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม การปรากฏขึ้นของ DEEPSEEK ซึ่งสามารถสร้าง AI ได้ดีใกล้เคียงกับ CHAT GPT ของอเมริกาได้ด้วยต้นทุนเพียงเสี้ยวเดียวเมื่อประมาณ 2-3 เดือนก่อนก็ทำให้ภาพเปลี่ยนแปลงไปมาก และดูเหมือนว่าการแข่งขันจะใกล้เคียงกันขึ้นมาก หลายคนคิดว่าจีนกำลังจะเอาชนะอเมริกาได้ในเวลาอีกไม่นาน
และสัญญาณอีกอย่างหนึ่งก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นโดยเฉพาะหุ้นเท็คขนาดใหญ่ของจีน ที่เคยเงียบเหงาและไม่ไปไหนมานานก็เริ่มขยับและวิ่งขึ้นมาอย่างแรงและเหนือกว่าหุ้นอเมริกาไปแล้วในช่วงประมาณ 1 ปี ที่ผ่านมา ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงปรับตัวขึ้นไปถึงประมาณ 40% และจากต้นปีนี้ก็ปรับตัวขึ้นไปแล้วประมาณ 20%
ไม่ต้องพูดถึงหุ้นไฮเท็คที่ปรับตัวขึ้นไปสูงยิ่งกว่า โดยเฉพาะในช่วงเร็ว ๆ นี้ที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงพบและจับมือกับแจ็คหม่าซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลจีนเริ่มเปลี่ยนนโยบายเป็นการสนับสนุนหุ้นเท็คขนาดใหญ่แทนที่จะ “จัดการ” กับบริษัทยักษ์เหล่านั้นอย่างในอดีต
การวิ่งของหุ้นไฮเท็คจีนอย่างแรงนั้น เป็นอาการเดียวกับหุ้นไฮเท็คยักษ์ในตลาดสหรัฐ นั่นคือ มากันเป็นกลุ่ม ซึ่งก็ได้สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนสูงและเร็วมาก ภาพของหุ้นจีนโดยเฉพาะหุ้นเท็คขนาดใหญ่เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน และดูเหมือนคนจะเริ่มคิดว่านี่ไม่ใช้เรื่องชั่วคราวที่หุ้นขึ้นมาซักพักแล้วก็จะตกลงไปใหม่อย่างที่เกิดขึ้นมาหลาย ๆ ครั้งมากในตลาดหุ้นจีน
หุ้นเหล่านั้นกำลังกลายเป็นหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ที่จะโดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับผลประกอบการที่จะดีขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศงบล่าสุดของหุ้นอาลีบาบาเมื่อ 2-3 วันก่อนที่กำไร “โตระเบิด” ทำให้หุ้นดีดตัวขึ้นทันทีกว่า 10% ในวันรุ่งขึ้น
ความตื่นเต้นต่อหุ้นไฮเท็คจีนนั้น แน่นอนว่าใน พ.ศ. นี้ก็จะต้องมีการสร้างสรรค์คำพูดที่คนจะชื่นชมและจดจำได้ง่ายและเป็น “Hype” อย่างเช่นที่เราเคยมีคำเรียกหุ้นอินเดียขนาดใหญ่ 50 ตัวว่า “NIFTY 50” และที่เรียกหุ้นไฮเท็คยักษ์ของอเมริกาที่เป็นคู่แข่งว่า “Magnificent 7” หรือที่คนไทยเรียกว่า “หุ้นเจ็ดนางฟ้า” ในกรณีของจีนนั้นก็เรียกว่า “Terrific Ten” ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นไฮเท็คจีนขนาดใหญ่ 10 ตัว ซึ่งในภาษาไทยผมอยากจะเรียกว่า “หุ้นทศเทพ” หรือหุ้น “เทพ” จีน 10 ตัว อันประกอบไปด้วย
4
หุ้นอาลีบาบาหรือ BABA 2) หุ้น JD.com 3) หุ้นรถไฟฟ้า BYD 4) หุ้น Geely 5) หุ้น Xiaomi 6) หุ้น Tencent 7) หุ้น NetEase 8) หุ้น Baidu 9) หุ้น Meituan และ 10) หุ้น SMIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปหมายเลขหนึ่งของจีน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อาจจะยังไม่ใช่ “ตัวจริง” ทั้งหมด อนาคตก็อาจจะมีหุ้นอื่นบางตัวเข้ามาแทนขึ้นอยู่กับพัฒนาการของหุ้นเท็คของจีนที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
ผมพูดมายาวถึงพัฒนาการของหุ้นจีนและ “หุ้นโลก” ที่ประกอบไปด้วยหุ้นของประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นของประเทศที่ก้าวหน้านี้ด้วยเหตุผลที่ผมเคยพูดมาเป็นระยะ ๆ ในช่วงเร็ว ๆ นี้นั่นก็คือ ผมตั้งเป้าที่จะจัดพอร์ตการลงทุนส่วนตัวของผมในอนาคตอันใกล้คือประมาณ 1-2 ปี ที่ผมจะมีพอร์ตใหญ่ ๆ 3 กลุ่ม ที่มีขนาดพอ ๆ กันคือ พอร์ตแรกที่เป็นพอร์ตที่ลงทุนในหุ้นไทย พอร์ตที่สองจะลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนาม และพอร์ตที่สามจะลงทุนใน “หุ้นโลก” ซึ่งก็คือหุ้นของประเทศที่ก้าวหน้า ซึ่งรวมถึงหุ้นไฮเท็คขนาดใหญ่ระดับโลกด้วย
1
ขณะนี้ผมได้ลงทุนในตลาดเวียตนามครบแล้วที่ประมาณ 1 ใน 3 ของเงินทั้งหมด แต่ในส่วนของหุ้นไทยนั้น ผมยังมีหุ้นถึงเกือบ 2 ใน 3 ซึ่งผมก็ทยอยขายออกไปอย่างช้า ๆ เพื่อให้เหลือ 1 ใน 3 แต่ในส่วนของหุ้นโลกนั้น ผมยังไม่ได้ซื้อลงทุนเลย ผมศึกษาและเฝ้ารอดูสถานการณ์อยู่และยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะซื้อหุ้นในตลาดไหน เวลาไหนและหุ้นตัวไหน ด้วยเหตุผลส่วนหนึ่งก็คือ ผมยังไม่รู้ว่าผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นอย่างไร นอกเหนือจากประเด็นที่ว่าจะเลือกหุ้นตัวไหน
ว่าที่จริงผมมีความคิดชัดเจนว่าหุ้นที่ผมจะลงทุนโดยเฉพาะนอกประเทศไทยจะต้องเป็นหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” คือเป็นหุ้นที่ดีมาก ๆ ในแง่ที่มันมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน เป็นหุ้น “ผู้ชนะ” ในอุตสาหกรรม หรือไม่ก็ “ไม่แพ้” และต้องเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือไม่ก็เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ตายและไม่ถูก Disrupt ได้ง่าย และก็ยังโตได้ในระดับหนึ่งที่ค่อนข้างดี และทั้งหมดนั้น ราคาหุ้นก็ต้องยุติธรรมหรือถูกด้วย
ซึ่งด้วยเงื่อนไขแบบนั้น ผมคิดว่าหุ้นกลุ่ม “7 นางฟ้า” นั้น มีคุณสมบัติพร้อมแต่ติดที่ราคาหุ้นอาจจะไม่ถูกโดยเฉพาะหลังจากที่มันปรับตัวขึ้นมามหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และก็เช่นเดียวกับหุ้นอื่นที่มีคุณสมบัติซุปเปอร์สต็อกในตลาดหุ้นสหรัฐแต่อาจจะเป็นหุ้นของประเทศอื่น ซึ่งรวมถึงหุ้น ASML ที่ผลิตเครื่องทำชิปหรือหุ้นอย่างหลุยส์วิตตอง ราคาก็ยังอาจจะแพงอยู่ หรือไม่ก็มีปัญหาบางอย่างที่ผมอยากรอดูว่าจะแก้ไขได้มากน้อยแค่ไหน
ในส่วนของหุ้นจีนนั้น ผมคิดว่ามีหุ้นที่เข้าเกณฑ์คุณสมบัติทางธุรกิจที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกอยู่ไม่น้อย และก็ดูเหมือนว่าราคาหุ้นเองก็ไม่แพง บางตัวถูกด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นจีนก็มีปัญหาเกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐที่ดูเหมือนว่าจะไม่เอื้ออำนวยต่อหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่เป็นเทคโนโลยี รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงไปมาก อานิสงค์จากการที่ประชากรแก่ตัวลง ซึ่งก็จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ที่มักจะเน้นลูกค้าในประเทศเป็นหลักถดถอยลงไปด้วย
1
ดังนั้น ผมเองก็ “รีรอ” นอกเหนือจากประเด็นอื่นแล้ว ผมก็ยังเกรงว่าเมื่อทรัมป์เริ่ม “โจมตี” จีน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นใน 2-3 เดือนข้างหน้า และโลกปั่นป่วน และแน่นอน จีนก็ปั่นป่วน โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่อาจจะถูกกระทบรุนแรง ทั้งหุ้นจีนและหุ้นอเมริกาก็อาจจะตกลงมารุนแรง ดังนั้น การ “รอ” อาจจะปลอดภัยกว่า
แต่หุ้นจีนโดยเฉพาะหุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกกลับปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว บางตัว 40-50% ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน โดยที่เหตุการณ์ที่ผมรอดูอยู่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิด ถ้าผมรีบตัดสินใจเข้าไปลงทุนในช่วงเวลานี้ ความเสี่ยงของผมก็จะเพิ่มขึ้นมาก เพราะเข้าไปไม่ทันไร อาจจะเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายและราคาหุ้นอาจจะตกลงมาสู่จุดเดิมซึ่งจะทำให้ขาดทุนมหาศาลภายในเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากทำมากที่สุด
แต่ถ้าผมไม่เข้าไป และราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะสิ่งเลวร้ายที่กลัวไม่เกิดขึ้น หุ้น “ทศเทพ” จีนวิ่งขึ้นต่อเนื่องยาวนาน อาจจะเพราะราคาก็ “ยังไม่แพง” ในระดับของวันนี้ และบริษัทก็โดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยศักยภาพทางเทคโนโลยีที่ “เหนือกว่า” ของจีน มันก็สามารถโตขึ้นไปอีกมากเหมือนอย่างที่หุ้น “7 นางฟ้า” เป็นอยู่ในปัจจุบัน การ “พลาดโอกาสทอง” ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ แล้วจะ “สร้างพอร์ตหุ้นโลกได้สำเร็จเมื่อไร ถ้าพลาดขบวนรถรอบนี้?”
ผมเองคงต้องทำใจว่าตนเองอาจจะ “ตกรถ” หุ้นทศเทพจีนครั้งนี้ แต่ก็ต้องปลอบใจตัวเองว่า การพลาดนั้น เป็นเรื่องปกติ ผมคิดดูแล้วในชีวิตการลงทุนก็พลาดมามากมายโดยเฉพาะ “การพลาดแบบที่ไม่ทำอะไร” ทั้ง ๆ ที่ควรจะซื้อหุ้นลงทุน บัฟเฟตต์เองก็เคยพูดว่าเขาเคยพลาดไม่ซื้อหุ้นวอลมาร์ททั้ง ๆ ที่ควรซื้อซึ่งจะทำให้เขาได้กำไรมหาศาล ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาต่อรองมากเกินไปหรือเปล่า แต่นั่นก็คือชีวิตนักลงทุนที่เน้นความปลอดภัยมากเสียจนบางครั้งพลาดผลตอบแทน “ก้อนโต”
1
บางทีผมอาจจะเป็นคนที่กลัว “การพลาดจากการกระทำที่ผิด” นั่นก็คือ ซื้อหุ้นแล้วพลาดมากเกินไป จนไม่ค่อยกล้าที่จะทำอะไรที่มีความเสี่ยงที่คาดการณ์ไม่ได้ นั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่า ตลอดการลงทุนที่ผ่านมาในชีวิต ผมมักไม่เคยได้ผลตอบแทนที่สุดจะยอดเยี่ยมประเภทกำไร “หลาย ๆ เด้ง” ในเวลาอันสั้น
แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็มักจะไม่ค่อยขาดทุนหนักในการลงทุน เหตุผลเพราะผมไม่ซื้อหุ้นแพงและก็ไม่ชอบหุ้นที่คาดการณ์ผลประกอบการได้ยาก หรือเป็นหุ้นที่มีกำไรผันผวนมากทั้งดีและร้าย ผมชอบความแน่นอนและความต่อเนื่องของธุรกิจ ยิ่งยาวยิ่งดี ด้วยวิธีนี้ผมจะลงทุนอย่างสบายใจและมีความสุข อาศัยเวลาเป็นเครื่องทำเงิน
ผมเองก็ยังหวังว่าจะมีโอกาสได้ลงทุนในตลาดหุ้นจีนซักวันหนึ่ง เพราะในตลาดหุ้นนั้น โอกาสที่ “รถจะกลับมารับ” มีเสมอ เพียงแต่เราจะต้องรู้จักรออย่างใจเย็น หรือถ้านานเกินไปก็จะมีรถคันใหม่มาให้ขึ้นเสมอ
1
ประชาสัมพันธ์ - ตอนนี้เว็บบอร์ด Thai VI เปิดให้สมัครสมาชิกและทดลองใช้ได้ฟรี 30 วันแล้ว! เข้าไปสมัครกันได้เลยครับที่ www.ThaiVI.org
โฆษณา