23 ก.พ. เวลา 10:06 • ธุรกิจ

รู้จัก Baillie Gifford บริษัทการลงทุนชื่อดังที่ สำนักงานประกันสังคม ไปดูงาน

คนที่เคยลงทุนในกองทุนรวม หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อของ “Baillie Gifford”
เพราะบริษัทนี้ เป็นบริษัทจัดการด้านการลงทุนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
และคนไทย น่าจะอยากรู้จักบริษัทนี้มากขึ้นไปอีก หลังจากรู้ว่า ในปีที่ผ่านมา สำนักงานประกันสังคม ได้ไปดูงานที่ Baillie Gifford ประเทศสกอตแลนด์
Baillie Gifford คือใคร ทำไมถึงโด่งดังในแวดวงการลงทุน ?
รู้ไหมว่า จริง ๆ แล้ว จุดเริ่มต้นของ Baillie Gifford ไม่ได้มาจากการจัดการด้านการลงทุนตั้งแต่แรก
1
แล้ว Baillie Gifford ทำอะไรมาก่อน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Baillie Gifford ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1908 หรือเมื่อ 117 ปีที่แล้ว ที่เมืองเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ โดยคุณ Augustus Baillie และคุณ Carlyle Gifford ในรูปแบบเป็นห้างหุ้นส่วน (Partnership) ซึ่งชื่อของห้างหุ้นส่วนนั้น ก็มาจากนามสกุลของทั้ง 2 คนนี้นั่นเอง
1
ในช่วงแรกที่มีการก่อตั้ง Baillie Gifford ห้างหุ้นส่วนนี้ เริ่มต้นจากการเป็นสำนักงานกฎหมาย
แต่ด้วยความที่ตลาดการเงินและการลงทุน มีการเติบโตในปลายทศวรรษ 1900s
ก็ทำให้ผู้ก่อตั้งทั้ง 2 คน ตัดสินใจปรับธุรกิจจากการทำสำนักงานกฎหมาย มาเป็นบริษัทจัดการด้านการเงิน
1
ห้างหุ้นส่วน Baillie Gifford เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจด้านการเงิน ด้วยการเป็นบริษัทรับจำนอง ปล่อยเงินกู้ให้แก่เกษตรกร
จนต่อมาก็ทำธุรกิจจัดการธุรกิจ และจัดการลงทุนอย่างจริงจังในช่วงต้นทศวรรษ 1930s
และด้วยชื่อเสียงที่ค่อย ๆ สั่งสมมา จำนวนเงินที่ลูกค้านำมาให้บริหารจัดการก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จนวันนี้ Baillie Gifford กลายมาเป็นบริษัทจัดการกองทุนระดับโลก
แม้จะเป็นบริษัทจัดการลงทุนอย่างเต็มรูปแบบ แต่ Baillie Gifford ก็ยังคงระบบบริหารจัดการองค์กรในรูปแบบ หุ้นส่วน (Partnership) เหมือนกับสำนักงานกฎหมาย หรือสำนักงานสอบบัญชี เอาไว้อยู่
ปัจจุบัน Baillie Gifford มีหุ้นส่วนเป็นพาร์ตเนอร์ทั้งหมด 59 ราย
มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ 319 คน ที่ทำหน้าที่จัดการการลงทุนให้แก่ลูกค้า และทีมงานอีกกว่า 1,500 คน และมีสำนักงานสาขาอยู่ในสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, จีน, ฮ่องกง, ไอร์แลนด์, สวิตเซอร์แลนด์
 
สำหรับแนวทางจัดการการลงทุนของ Baillie Gifford นั้น เน้นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่นักเก็งกำไร และไม่ได้มองการลงทุนในระยะสั้น ๆ
1
เพราะเมื่อบริษัททำการศึกษาและพิจารณาที่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่งนั้น โดยปกติแล้วจะลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป บางบริษัทอาจเป็น 10 ปี
และการที่ Baillie Gifford ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Partnership ซึ่งแตกต่างจากบริษัทการลงทุนแบบมหาชนทั่วไป ทำให้บริษัทมีความเป็นอิสระสูง เพราะไม่ค่อยมีแรงกดดันจากนักลงทุนภายนอก
1
Baillie Gifford จึงสามารถตัดสินใจโดยมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การลงทุนระยะยาวได้ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลตอบแทนระยะสั้น
ซึ่งแนวทางในการเลือกบริษัทที่จะลงทุนนั้น Baillie Gifford จะใช้วิธีวิเคราะห์จากล่างขึ้นบน หรือที่เรียกว่า Bottom-Up Approach
Bottom-Up Approach หมายถึง การให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ “ข้อมูลรายบริษัท” ก่อนภาพเศรษฐกิจใหญ่
เช่น ข้อมูลจากงบการเงิน, สินค้าและบริการของบริษัท, ความสามารถของทีมผู้บริหาร, Moat ของธุรกิจ
เพื่อเสาะหาหุ้นที่มีลักษณะเด่นน่าสนใจ หลังจากนั้นจึงค่อยทำการวิเคราะห์ภาพใหญ่ในระดับอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศ
Baillie Gifford มักบริหารพอร์ตแบบเชิงรุก และมีความเชี่ยวชาญด้านการเลือกหุ้นเติบโต (Growth Stocks) เช่น หุ้นเทคโนโลยี ที่มีศักยภาพสูงในระยะยาว
โดยก่อนที่จะลงทุนนั้น ทางทีมของ Baillie Gifford จะตั้งคำถามต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่า การลงทุนของพวกเขานั้นจะประสบความสำเร็จ
ยกตัวอย่างคำถาม เช่น
- มีโอกาสที่รายได้ของบริษัท จะโตเท่าตัวในอีก 5 ปี ข้างหน้าไหม ?
- ภาพรวมของอุตสาหกรรมในอีก 10 ปี หรือนานกว่านั้น จะเป็นอย่างไร ?
- ข้อได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทนี้ คืออะไร ?
- ในระยะยาว บริษัทแห่งนี้ สามารถเติบโตได้เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมไหม
2
- ทำไมลูกค้าถึงชอบสินค้าและบริการของบริษัทนี้ ?
- มูลค่ากิจการเป็นอย่างไร จะมากกว่านี้ไหม เป็น 5 เท่าหรือไม่ ? ถ้าใช่ ทำไมตลาดหรือนักลงทุน ยังมองไม่เห็นจุดนี้ ?
- ผู้บริหารจะนำเงินทุนของบริษัท ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ?
- ความแข็งแกร่งทางการเงิน จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงในอนาคต ?
5
คำถามเหล่านี้ เป็นตัวอย่างของกรอบการลงทุนให้แก่ Baillie Gifford ก่อนที่จะเข้าไปลงทุน ไม่ว่าในหุ้นของบริษัทใด ๆ ก็ตาม
แล้วสินทรัพย์ที่ Baillie Gifford บริหารอยู่ มีมูลค่ามากแค่ไหน ?
ณ สิ้นปี 2024 บริษัทเปิดเผยว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) ของ Baillie Gifford อยู่ที่ 9,228,000 ล้านบาท
ซึ่งสัดส่วนเงินลงทุนของ Baillie Gifford ถ้าแยกตามภูมิภาค จะประกอบไปด้วย
- สหรัฐฯ 53.9%
- ยุโรป 27.4%
- จีน 10.3%
- บราซิล 4.7%
- อื่น ๆ 3.7%
แล้วถ้าเจาะไปที่หุ้นรายตัว สงสัยไหมว่า Baillie Gifford ถือหุ้นอะไรอยู่บ้าง ?
รายชื่อหุ้น 10 ตัวแรกที่ Baillie Gifford มีสัดส่วนการลงทุนมากที่สุด (ณ สิ้นปี 2024) คือ
1. Amazon มูลค่าเงินลงทุน 265,500 ล้านบาท
2. Mercado Libre มูลค่าเงินลงทุน 245,300 ล้านบาท
3. Nvidia มูลค่าเงินลงทุน 238,300 ล้านบาท
4. Shopify มูลค่าเงินลงทุน 213,400 ล้านบาท
5. Spotify มูลค่าเงินลงทุน 197,700 ล้านบาท
6. Sea Limited มูลค่าเงินลงทุน 146,000 ล้านบาท
7. The Trade Desk มูลค่าเงินลงทุน 138,600 ล้านบาท
8. Netflix มูลค่าเงินลงทุน 133,900 ล้านบาท
9. PDD Holdings (Pinduoduo) มูลค่าเงินลงทุน 123,800 ล้านบาท
10. Coupang มูลค่าเงินลงทุน 118,800 ล้านบาท
1
และแถมด้วยอันดับที่ 11 คือ Meta มูลค่าเงินลงทุน 115,400 ล้านบาท
ดูจากหน้าหุ้นแล้ว จะเห็นว่า บริษัทที่ Baillie Gifford ให้น้ำหนักการลงทุนมากที่สุดคือบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งก็ตามกลยุทธ์และความเชี่ยวชาญของบริษัท
โดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่ดูเหมือนตอนนี้ Baillie Gifford จะชื่นชอบเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น
Amazon ผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ และยุโรป
Mercado Libre ผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซในลาตินอเมริกา
Shopify ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนา E-commerce จากแคนาดา
Sea Limited เจ้าของแพลตฟอร์ม Shopee ผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
PDD Holdings เจ้าของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Pinduoduo หนึ่งในผู้หลักในตลาดจีน
Coupang ผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซในเกาหลีใต้
ตอนนี้เราคงรู้จัก Baillie Gifford กันมากขึ้นแล้วว่า เป็นใครมาจากไหน
แตกต่างจากบริษัทจัดการการลงทุน ที่อื่นอย่างไร และมีแนวทางบริหารการลงทุนแบบไหน
ซึ่งวิสัยทัศน์ที่ยึดมั่นในการมองธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโต และลงทุนระยะยาว ไม่หวังผลระยะสั้น
แต่ก็พร้อมปรับเปลี่ยนพอร์ตฯ ให้สอดคล้องกับเทรนด์อนาคต และโลกที่เปลี่ยนไป
ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Baillie Gifford เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และธุรกิจอยู่มาได้เกินกว่า 100 ปี..
1
โฆษณา