23 ก.พ. เวลา 13:02 • ความคิดเห็น
เวลาเราพูดถึงพระพุทธเจ้า เรานึกถึงเรื่องราวของพระสิทธัตถะ ที่ท่านเกิดมาเพื่อจะตัดขาด เรื่องราวของการเกิดแก่เจ็บตาย ที่ัเนื่องมาจากทรัพย์สมบัติ เงินทอง ยศฐานบรรดาศักดิ์ ที่นำพาจิตนั่นมาให้เกิด เคยใช้อารมณ์โลภโกรธหลง ไปเสาะแสวงหามา ยึดถือ จิตออกจากกาย ก็มีสัญยกรรมต้องมาเกิด
ถึงคราวนี้มาเกิดได้พ้อแม่มีกายเป็นมนุษย์ มีธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา สงเคราะห์ให้ ..ได้กายมนุษย์ครบอาการสามสิบสอง ธาตุทั้งสองนี้ เป็นจุดเริ่มต้น ..นำให่จิตได้มาอาศัยกายมนุษย์ มีธาตุทั้งสี่หนุนนำ ธาตุทั้งสี่ที่มาหนุนนำ ก็มาจากธาตุทั้งสี่ หนุนนำให้ได้กายที่ครบสามสิบสอง พรั่งพร้อมด้วยบารมี เข้าป่าด้วยเสื้อผ้าชุดเดียว ไปใช้ขันติ ..ตัดขาด อาราธนาต่างๆ นั่งกายนิ่ง จิตนิ่ง ..มีทุกข์เกิดขึ้นมา ก็ดับทุกข์นั้น ด้วยสติปัญญาเป็นธรรม ด้วยกายบารมี .. ที่สะสมมา
จิตของผู้ที่ที ..จะไปดับทุกข์ นั่นท่านไม่วาดหวั่น ไม่มีความกลัว กลัวอด กลัวลำบาก กลัวเจ็บกลัวตาย เรื่องราวของพระที่ไปอยู่ป่าด้วยเสื้อชุดเดียว ไม่ออกมาอีก ..เป็นเรื่องราวที่ยากจะรู้จัก
แต่เรื่องราว ที่พระพุทธเจ้าท่านบรรลุ สำเร็จแล้ว ท่านก็กลับมาโปรดพ่อโปรดญาติโยม ให้รู้จัก เรื่อการทำทาน สร้างกุศล สะสมบุญกุศล ให่้จิตนั้นมีกายเป็นบุญ จนไปเรื่อ
รางของกายบุญบารมี ..กายบุญนั้นหมายถึง เรื่องของกายเทพยดาอินทร์พรหมา
ส่วนพระอัครสาวก ท่านก็ดูรอยพระพุทธเจ้า ท่านก็นั่งทำกายนิ่ง จิตนิ่ง..ปลดเปลื้อง .อารมณ์กรรม เมื่อกายนิ่งจิตนิ่ง ก็สามารถไปสัมผัส ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ ท่านชำระสะสาง ..ส่งคืน ธาตุนะโมที่สะอาดบริสุทธิ์ ให้กับธาตุพ่อธาตุแม่ ด้วยอาศัยธาตทั้งสี่ ดินน้ำลมไฟ ..เป็นเหมือนดินฟ้าอากาศ ส่งคืนให้พ่อแม่ของท่าน จิตของลูกบรรลุธรรม สำเร็จ ธาตุนะโมเป็นแก้วเจีนรไน จิตของพ่อแม่ ก็ได้ ..ธาตุที่เป็นแก้วที่ลูดใช้ไป ใช้กายไป .ปฏิบัติธรรม จนบรรลุธรรม
จากการที่ได้เรียนรู้ เรื่องราวรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมสัมพุทธเจ้า .ผู้ที่จิตท่านมีธรรม จริงๆ ท่านไม่วุ่นวาย ..ท่านเก็บตัวเงียบ ไม่ออกมาสร้างกายวาจาใจ ด้วยอารมณ์ทิฐิต่างๆ ส่วนผู้ที่ยังหลง ไม่รู้จักกรรม เหมือนเราที่เขียนอยู่นี้ แหละ ..ที่เค้าว่า ตัดขาดไม่ได้ ต้องเกิดตายๆ อีกยาวนาน
บางที่คนเรามันก็หลงอย่างนั้นอย่าง อยาก . มันก็มีสิ่งหนึ่ง ช่วยส่งเสริมให้ จนอ่านจิตตัวเองไม่ออก ธาตุทั้งสี่ ก็บังคับกิริยาท่าทาง กายวาจาใจไป ..บันทึกกรรมไว้ให้ ยิ่งพูดเรื่องราวของคำว่า ธรรท ..ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้า เมื่อฟังแล้ว นำไปปฏิบัติขึ้น มีพระผู้ใหญ่ ท่านเล่าให้ฟัง บางองค์ก็ไม่ฟังจากพระพุทธเจ้า ท่านฟังจากพระอัครสาวก แล้วท่านก็ไปทำ .ไปเข้าป่า นั่งนิ่งๆ จิตเฉย ..นั่งกลางแจ้ง ฝนตกแดดออกก็นั้ง อยู่อย่างนั้น กายไม่ละลาย ลุกหนีไปไหน . ท่านไปอยู่ในท่านกลางดินฟ้าอากาศ
บางองค์ก็อยู่ในที่อยู่ในที่ หนาวเย็น หิมะตก เป็นน้ำแข็งถูกศีรษะ ท่านก็นั่งนิ่ง พออากาศเริ่มอุ่น ท่านก็ลุกขึ้น ปัดเกล็ดน้ำแข็งออก ..เดินไปหาหาน้ำดื่ม เพียงอึกเดียว กกลับมานั่งใหม่ ..เรื่องราวของพระที่ท่านอยู่ป่า ..จิตไม่มีบารมี ที่เคยสะสมมาในอดีต ทำไม่ได้เลย แล้วเรื่องของอารมณ์ ท่านก็ทำไปจนเห็นเรื่องราวของอารมณ์ เรื่องของธาตุทั้งสี่ ..เรื่องราวของแสงสีรัตนะ
..มีเรื่องราวมากมาก ที่เราได้ฟังมา ..ที่ท่านเมตตา เล่าให้จิตน้อยๆ อย่างเรา ได้ฟังจดจำบ้าง ว่า ผู้ที่สะสมบุญบารมี นั้นท่านเกิดมามีกายเป็นมนุษย์ สุดประเสริฐ ..ได้ธาตนะโมสุดประเสริฐ .
ที่สามารถนำมาสร้างบุญกุศล ให้มีกายเป็นบุญ แม้ยามเจ็บป่วย ก็อาศัยการประพฤติปฏิบัติธรรม ชดใชกรรม..ที่ตนเองเคยทำมา . .นั่นก็เป็นการเรียนรู้ว่า กรรมนั้นมีจริง บุญกุศลที่สร้างขึ้นมา ด้วยธาตุนะโม ..ธาตุนะโมก็ช่วยกระจายบุญกุศล ส่งไปที่ธาตุทั้งสี่ เกิดคำว่า อโหสิกรรม ..
เมื่อได้กายนี้มา ..เรื่องความกตัญญูรู้คุณ ..กับพ่อแม่ เป็นเรื่องสำคัญ ที่จะเป็นพื้นฐานของจิต นำกายนี้ .มาสร้างบุญกุศล เพราะจิตนั้น อาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา
หากผิดพลาด .เพียงเผลอสติใช้กายวาจาใจ ไม่สมควรกับพ่อแม่ .ก็ผลักใจจิตนั่นต้องมีกรรม ไม่รู้จักคำว่าพระคุณกตัญญูรู้คุณเลย . อาศัยกายพ่อแม่มนุษย์แท้ ก็ทำตามเยี่ยงผู้ที่ที่อาศัยสังขารกรรม ไม่สามารถจะเรียกพูดคำว่า พ่อแม่ได้ ..จิตมันก็จะตกต่ำไปทางนั่น ชาติต่อไป ..จะมีธาตุนะโม มีสังขารเป็นรูปอะไร.. นั่นจึงเป็นเรื่องของจิต .ที่สร้างสังขารให้จิตอาศัยในภายหน้า
.. ชาตินี้ ..เค้าก็บอกว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ .ข้าพเจ้าได้นำธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา มานอบน้อมสักการะบูชา กราบองค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้า พระพุทธ เป็นที่พึงของข้าพเจ้า พระธรรมและพระอัครสาวก เป็นที่พึ่งของจิตข้าพเจ้า ..แล้วเราก็ใช้ธาตทั่งสองนี้ นำมาสร้างบุญกุศล มีตามีหู บันทึกภาพเสียง ที่เราสร้างบุญกุศล เก็บสะสม ส่งไปให้ธาตุทั้งสี่ เก็บบันทึกการกระทำของเราเอง ที่ว่า บุญกรรม เราเป็นผู้ทำเอง สะสมเอง
เมื่อเรามาศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า เราก็ศึกษาว่า ว่าท่านทำมาอย่างไร สะสมอะไรมา ท่านทำอย่าไรบ้าง เราก็หัด ฝึกหัด เดินตามรอยท่าน .มีพระที่เราเคารพ ..ท่านก็บอกว่า ชาตินี้ สร้างบุญกุศล ฝึกหัดรอยทั้งสี่ ยืนเดินนั่งนอน ด้วยอาศัยกายพ่อแม่ที่ได้มา นำมากระทำขึ้น .ทำด้วยกายวาจาใจ ที่นอบน้อม ในการสร้างบุญกุศล นอบน้อมในการประพฤติปฏิบัติธรรม ..ทำกายให้นิ่ง จิตให้นิ่ง . มีพระที่เรานับถือ .ท่านบอกว่า ชาตินี้ ทำให้ได้ กายนิ่ง จิตนิ่ง..
ธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ ท่านไม่ได้ฝากกับผู้หนึ่งผู้ใด ..เมื่อจะมาเรียนรู้ ธรรมของท่าน ก็สร้างบุญกุศลบารมี เดืนตามรอยท่าน ท่านสอนให้ทำกายนิ่ง จิตนิ่ง .
เราก็ฝึกหัดบ้าง ..เหมือนพระอานนท์ ท่านก็ทำกายนิ่ง จิตนิ่ง .ขึ้นไปดู เห็นนางฟ้าสวยงาม แล้วแปรเปลี่ยน เป็นหญิงชราหงำเหงือก ท่านจึงตัดขาด. เรื่องราวของตัณหาได้ หากแต่งงานไป ก็ต้องไปจูง หญิงชราหงำเหงือกอีก ..ท่านก็เลยตัดขาด ไม่เอาแล้ว นั่นเป็นเรื่องของจิต .ที่พูดจริง แล้วก็ทำจริง ..ตัดขาด ..
โฆษณา