24 ก.พ. เวลา 00:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ภาษีคืออาวุธ! แกะกลยุทธ์ทรัมป์บีบธุรกิจให้มาตั้งโรงงานในอเมริกา

"ภาษีคืออาวุธหลักสำคัญในสงครามเศรษฐกิจของยุคนี้"
นักลงทุนที่ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจเป็นประจำจะพอทราบว่า ในช่วงนี้หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้มีการแต่งตั้งประธานาธิบดีคนใหม่อย่างดอนัลด์ ทรัมป์
นับตั้งแต่ ดอนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แนวคิด "America First" ได้กลับมาเป็นหัวใจของนโยบายเศรษฐกิจอีกครั้ง
ด้วยนโยบายมากมายที่ทรัมป์อาจจะหรือกำลังดำเนินการอยู่หลังจากได้รับตำแหน่ง ทำให้ทั้งภาคการเงินและตลาดหุ้นของสหรัฐฯ นั้นมีความผันผวนมากขึ้นเป็นพิเศษ
ซึ่งนโยบายของเขาที่มักถูกกล่าวถึงบ่อยๆ เลยในช่วงนี้ก็คือ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคู่แข่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
แล้วสหรัฐฯ ได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการดำเนินนโยบายแบบนี้ของทรัมป์ บทความนี้เราจะมาชวนคิดวิเคราะห์และแกะความคิดของประธานาธิบดีคนนี้กัน...
อันดับแรกที่เราคิดกันได้เลยก็คือ พวกเขาจะได้รับเงินภาษีจากประเทศที่ขายหรือส่งออกสินค้าและบริการมายังสหรัฐฯ มากขึ้น
แต่แน่นอนว่านี้เป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่หลายคนวิเคราะห์กันได้ ซึ่งจริงๆแล้วนโยบายดังกล่าวนี้อาจจะมีอะไรที่มากกว่าแค่เรื่องรายได้
อย่างเมื่อไม่นานมานี้ทรัมป์ได้ออกมากล่าวว่า สหรัฐฯ จะมีการเก็บภาษีนำเข้าทั้งรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยา มากขึ้นโดยอาจมากถึง 25% หรือสูงกว่านั้น
แต่ถ้าหากไม่อยากโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น บริษัทเหล่านั้นจะต้องมาตั้งโรงงานในสหรัฐฯ
ที่จริงแล้วแค่เรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นก็ได้ ยังไงเสียหลายบริษัทส่วนมากก็อาจจะยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตรงนี้ได้แม้ว่าจะไม่เต็มใจ นั่นเพราะว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีกำลังบริโภคสูง และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เอื้อต่อการค้าขาย
แต่แล้วทำไมถึงต้องมีข้อเสนอตามมาด้วยว่าถ้าไม่อยากจ่ายภาษีต้องย้ายโรงงานมาที่สหรัฐฯ?
แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของประธานาธิบดีคนนี้ไม่ได้มีแค่เงินภาษี แต่สิ่งที่เขาอยากจะได้จริงๆ จากการดำเนินนโยบายนี้ นั่นก็คือ Productivity หรือผลผลิต โดยผลผลิตในที่นี้หมายถึง ตำแหน่งงาน, เงินทุน, เทคโนโลยี และอื่นๆ
ถ้าหากบริษัทต่างๆ ย้ายโรงงานหรือสำนักงานใหญ่ (Headquarters) มาตั้งในสหรัฐฯ ก็หมายความว่าสหรัฐฯ จะไม่สามารถเก็บภาษีเพิ่มเติมจากบริษัทเหล่านั้นได้
แต่อีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า โรงงานหรือสำนักงานใหญ่ของบริษัทเหล่านั้นจะต้อง "อยู่ภายใต้กฏหมายของสหรัฐฯ"
หรือก็คือ สหรัฐฯ จะสามารถใช้กฏหมายเพื่อควมคุมการดำเนินงานบางส่วนของบริษัทเหล่านั้นได้นั่นเอง
อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับบริษัทจำหน่ายเครื่องผลิตชิปสัญชาติเนเธอร์แลนด์อย่าง ASML ที่แม้ว่าจะไม่ได้มีโรงงานหลัก แต่ก็มีสำนักงานใหญ่ (Headquarters) ศูนย์วิจัย และโรงงานย่อยที่ให้บริการลูกค้าในอเมริกา
ดังนั้นสหรัฐฯ จึงสามารถใช้เครื่องมือทางกฏหมายเพื่อกีดกันการส่งออกเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีน ซึ่งทำสิ่งนี้ผ่านบริษัท ASML นั่นเอง
โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้มาตรการ ควบคุมการส่งออก (Export Controls) ภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Bureau of Industry and Security (BIS) ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
เช่น Export Administration Regulations (EAR) เป็นกฎระเบียบการส่งออกที่ควบคุมการขายเทคโนโลยีและสินค้าจากสหรัฐฯ และสินค้าที่มีเทคโนโลยีหรือชิ้นส่วนที่มาจากสหรัฐฯ
Foreign Direct Product Rule (FDPR) กฎนี้ขยายอำนาจของ EAR โดยควบคุมสินค้าและเทคโนโลยีที่ผลิตขึ้นในต่างประเทศแต่ใช้ซอฟต์แวร์หรือเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
CHIPS and Science Act กฎหมายนี้มีมาตรการกีดกันจีนจากการเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง รวมถึงการให้เงินอุดหนุนแก่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ โดยมีข้อห้ามไม่ให้พวกเขาขยายการผลิตในจีน
โดยสหรัฐฯ อ้างว่าจีนอาจใช้เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ในการพัฒนากองทัพและข่าวกรองที่เป็นภัยคุกคามต่อโลกตะวันตก
หากเนเธอร์แลนด์ที่เป็นประเทศเจ้าของบริษัท ASML ไม่ร่วมมือ สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการกีดกันทางเศรษฐกิจ เช่น จำกัดการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ หรือการลงทุนจากบริษัทอเมริกัน เพื่อกดดันเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์
จะเห็นได้ว่านโยบายเกี่ยวกับภาษีของประธานาธิบดีคนนี้ นั้นอาจเป็นเพียงแค่บทนำของแผนระยะยาวของเขา
และหากเราวิเคราะห์และมองกันให้กว้างกว่านั้น การดำเนินนโยบายตามแนวคิด America First แบบนี้ของทรัมป์ อาจช่วยแก้ไขโครงสร้างด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญอยู่ได้ไม่มากก็น้อย
ทำไมถึงคิดแบบนั้น...
  • United States Balance of Trade
ที่มา tradingeconomics.com
รูปภาพที่แสดงข้างต้นนี้คือ ดุลการค้าของสหรัฐอเมริกา เห็นได้ว่าแม้ว่าสหรัฐฯ นั้นจะเคยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกในอดีต แต่นับตั้งแต่ช่วงปี 1980 ที่โลกของเราเริ่มมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกันอย่างจริงจังจากการมาของเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต
สหรัฐฯ เริ่มมีการขาดดุลการค้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมและวัตถุดิบจากต่างประเทศมากกว่าที่พวกเขาส่งออก
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ สหรัฐฯ มีเงินไหลออกนอกประเทศมากขึ้นทุกปีตั้งแต่อดีต ตามปกติแล้วการที่มีเงินไหลเข้าหรือไหลออกจากประเทศนั้นเป็นเรื่องปกติ
แต่คงไม่ใช่เรื่องดีหากมีเงินที่ไหลออกนอกประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกมั้ย?
โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นอาจเริ่มจากช่วงปี 1980-1990 ด้วยการมาของเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต
การพัฒนาคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ อินเทอร์เน็ต หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เริ่มเปลี่ยนจาก การผลิตสินค้าไปสู่การให้บริการซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งให้กำไรสูงกว่าภาคอุตสาหกรรม สิ่งนี้จะเริ่มเห็นได้ชัดเลยก็คือ ช่วงปี 2000 หลังจากเกิดวิกฤตดอทคอม
บวกกับในขณะเดียวกันนี้เองทั้ง Wall Street และตลาดทุนของสหรัญ มีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและเริ่มมีการเปิดเสรีทางการเงิน (Financial Deregulation) กันมากขึ้น ทำให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่เองก็เริ่มขยายธุรกิจการลงทุนไปทั่วโลก
อีกทั้งปัจจัยทางด้านต้นทุนการผลิตในประเทศที่สูง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้บริษัทต่างๆ ในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คิดว่าหากย้ายโรงงานไปต่างประเทศที่มีต้นทุนแรงงานที่ถูกกว่า พวกเขาก็จะลดต้นทุนได้มากกว่า
ทั้งการไหลออกของเงินลงทุนในภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ และการพยายามลดต้นทุนในธุรกิจด้วยการย้ายโรงงานไปยังต่างประเทศของบริษัทในสหรัฐฯ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจในภาคบริการมากเป็นพิเศษ โดยมากที่ว่านี้นั่นมากถึง 71.6% ต่อ GDP เลยทีเดียวในปี 2024
  • Private Services-Producing Industries as a Percentage of GDP
ด้วยการพึ่งพาเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมในสัดส่วนที่น้อย ทำให้ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นลดลงและมีความอ่อนไหว เนื่องจากหากเกิดสงครามหรือปัญหาด้านซัพพลายเชนในภาคอุตสาหกรรม สหรัฐฯ อาจเผชิญกับปัญหาขาดแคลนสินค้าจำเป็น
และอาจส่งผลต่อไปในอีกหลายๆ เรื่องได้ เพราะต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งสหรัฐฯ ไม่สามารถควมคุมราคาได้
สิ่งนี้จะเห็นได้ชัดเจนเลยในช่วงที่มีการระบาด Covid-19 ที่เงินเฟ้อของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสาเหตุหลักส่วนหนึ่งเลยก็มาจากเรื่องการขัดข้องด้านซัพพลายเชนของสินค้าในสหรัฐฯ จากการมาตรการปิดประเทศจึงนำไปสู่การขาดแคลนสินค้าในบางประเภทและผลักดันราคาสินค้าเหล่านั้นให้สูงขึ้น ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเงินเฟ้อ
จากที่กล่าวมานี้จึงไม่แปลกเลยหากทรัมป์หรือประธานาธิบดีคนต่อไปจะมีการออกนโยบายในลักษณะนี้มาอีก เพื่อกดดันให้บริษัททั่วโลกที่ค้าขายกับสหรัฐฯ มาตั้งโรงงานหรือสำนักงานในอเมริกา
ดังนั้นการที่ประธานาธิบดีคนใหม่อย่างดอนัลด์ ทรัมป์ มีการใช้นโยบายการเงินระหว่างประเทศอย่างจริงจังในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เพียงอยากเก็บภาษีให้มากขึ้นอย่างเดียวเฉยๆ
แต่มันยังรวมถึงความมั่นคงระดับชาติในหลายด้านของสหรัฐฯ อย่างด้านเทคโนโลยีที่หากลองสมมุติว่า มีบริษัทย้ายมาตั้งโรงงานอะไรสักอย่างในสหรัฐฯ เพราะไม่อยากเสียภาษีเพิ่ม
นั่นก็จะเท่ากับว่าสหรัฐฯ จะสามารถหาทางใช้ประโยชน์หรือควมคุมเทคโนโลยีที่บริษัทดังกล่าวครอบครองได้แม้จะแค่บางส่วนหรือทางอ้อมก็ตาม
อีกทั้งด้วยโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ได้อธิบายแบบพอสังเขปไปก่อนหน้านี้ หากสหรัฐฯ ไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขหรือปรับเปลี่ยน
ต่อไปในอนาคตสิ่งเหล่านั้นอาจทำให้สหรัฐฯ ต้องตกที่นั่งลำบากอีกก็เป็นได้นั่นเอง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา